“น้ำ”เป็นทรัพยากรที่สำคัญของโลก นอกจากในทะเลและมหาสมุทรแล้ว น้ำยังอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำในบรรยากาศ รวมทั้งเมฆและหมอกด้วย
ทรัพยากรน้ำมีการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักร โดยพลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นตัวการหลัก และปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา เช่น ลม อุณหภูมิ ความชื้น จะเป็นตัว
ขับเคลื่อนวัฏจักรน้ำให้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ การหมุนเวียนของวัฏจักรน้ำนั้นเป็นกลไกที่สำคัญของระบบโลก เพราะน้ำมีหน้าที่นำพาแร่ธาตุ สารอาหารไปยังพื้นที่ต่างๆ และสะสมตัวในดินทำให้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งอาหารของสรรพสัตว์และมนุษย์บนโลก
อย่างไรก็ตาม วิกฤตการณ์ภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อวัฏจักรน้ำบนโลกโดยรูปแบบของการเกิดหยาดน้ำฟ้า การเปลี่ยนแปลงของระดับอุณหภูมิ การระเหยของน้ำ และอื่นๆ จะเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้บางพื้นที่มีน้ำน้อยลง ในขณะที่บางพื้นที่อาจมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น และหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้น 2-3 องศาเซลเซียส กว่าระดับอุณหภูมิในช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรม ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำจืดทั่วโลกจะรุนแรงขึ้นอย่างมาก ตัวแปรที่สำคัญในการศึกษาโครงสร้างภายในของน้ำคือค่าไอโซโทป (isotope)
โดยค่าไอโซโทปจะสามารถช่วยในการคาดหมายปริมาณน้ำที่จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละขั้นตอนของวัฏจักรน้ำได้ ดังนั้น การศึกษาค่าไอโซโทปของน้ำประกอบกับการประยุกต์ใช้ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาจะสามารถส่งเสริมและช่วยให้เราคาดหมายการหมุนเวียนของวัฏจักรน้ำภายในประเทศได้ดียิ่งขึ้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดสรรทรัพยากรน้ำภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสำหรับแต่ละพื้นที่ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อื่นๆ ทั้งในด้านภาคการเกษตร ภาคสาธารณสุข และภาคชลประทานอีกด้วย
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ที่อาคารหอประชุมกรมอุตุนิยมวิทยา ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง กรมอุตุนิยมวิทยา และ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์
แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ว่าด้วยความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาระบบสารสนเทศด้านอุตุนิยมวิทยา อุทกวิทยา และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้ำ และอากาศ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนะสิทธิ์ เอี่ยมอนันชัย รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาฝ่ายวิชาการ และ พลเรือตรีวัชระ การุณยวนิชรองผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ลงนามเป็นพยาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของกรมอุตุฯ และ สทน. เข้าร่วมงาน
ดร.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ภารกิจของกรมอุตุนิยมวิทยา และ สทน. มีความเกี่ยวโยงและสนับสนุนซึ่งกันและกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านข้อมูลเพื่อการศึกษาและวิจัย ทั้งนี้ สองหน่วยงานได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561 โดยมี สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) ร่วมลงนามด้วย
สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นการบูรณาการความร่วมมือด้านอุตุนิยมวิทยา และการวิจัยด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพื่อประโยชน์ในมิติที่หลากหลาย เพราะนอกจากข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยาจะใช้ประโยชน์เพื่อวางแผนและบริหารจัดการน้ำของประเทศโดยตรงแล้ว ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยาต่างๆ เช่น ข้อมูลปริมาณน้ำฝนสามารถนำไปใช้ในการประเมินอัตราการเติมน้ำบาดาลในบริเวณพื้นที่แอ่งน้ำ และนำไปใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างน้ำฝนกับค่าไอโซโทปในน้ำฝน ซึ่งการวัดค่าไอโซโทปนี้ก็สามารถใช้ประโยชน์ในการศึกษาด้านอุทกวิทยาในการหาแหล่งต้นกำเนิดของน้ำ หาแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อนำมาวางแผนบริหารจัดการน้ำ
อีกทั้ง ข้อมูลการตรวจวัดอุณหภูมิ ข้อมูลด้านการตรวจวัดโอโซนและรังสีของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ในการวางแผนจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านอื่นๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อขับเคลื่อนประเทศ ความมั่นคง การจัดการภัยพิบัติ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การสาธารณสุข และอื่นๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
ทางด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลามากกว่า 5 ปี ที่ผ่านมา ทางสถาบันฯ เองได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา เช่น ข้อมูลปริมาณน้ำฝน เพื่อนำไปศึกษาวิเคราะห์การกระจายตัวของปริมาณน้ำฝนรายเดือนและรายปีในประเทศไทย ข้อมูลปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่ในประเทศไทย เพื่อใช้สำหรับโครงการสร้างฐานข้อมูลไอโซโทปเสถียรในน้ำฝน เพื่อศึกษารูปแบบการเกิดฝนของประเทศไทย หรือการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำฝนกับค่าไอโซโทปเสถียรในน้ำฝน ภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การใช้ข้อมูลในการวิจัยแหล่งที่มาของน้ำบาดาลและการประเมินอัตราการเติมน้ำบาดาลในแหล่งน้ำบาดาลในพื้นที่แอ่งน้ำบาดาลเจ้าพระยาตอนบน และพื้นที่น้ำบาดาลแอ่งแพร่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สถาบันฯ ยังมีโครงการสำคัญที่ดำเนินการต่อเนื่อง และต้องใช้ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาเป็นส่วนประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ จากสถานีอุตุนิยมวิทยานำร่อง 33 สถานี เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิจัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทย ข้อมูลการเกิดมรสุม การเกิดใต้ฝุ่นและลมพายุ ความเร็วลม แนวร่องมรสุม จำนวนวันที่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในแต่ละปี และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทางอุตุนิยมวิทยา เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ตั้งสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี ในฐานะผู้แทนของสถาบันฯ
“วันนี้มีความยินดีและภาคภูมิใจยิ่ง ที่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันถึงประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับจากความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและอุทกวิทยา ภายใต้การสนับสนุนข้อมูลสำคัญจากกรมอุตุนิยมวิทยา จะเป็นกลไกหนึ่งในการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศได้ในอนาคต” ผู้อำนวยการ สทน. กล่าว
จากนั้น ดร.ชมภารี ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การยกระดับการบูรณาการความร่วมมือให้มีความชัดเจน มีเป้าหมาย และกระชับความร่วมมือให้เข้มแข็งขึ้น ในวันนี้ จะนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดความร่วมมือการสร้างสรรค์โครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ได้ตรงความต้องการที่หลากหลาย และรองรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนของประเทศชาติสืบไป
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยาและ สทน. ได้มีความร่วมมือในการศึกษาค่าไอโซโทปน้ำ และในอนาคตจะมีการขยายความร่วมมือให้กว้างขวางขึ้นเพื่อสนับสนุนการบริหาร การจัดการ ทั้งทรัพยากรดิน น้ำ และอากาศของประเทศ โดยจะมุ่งมั่นพัฒนาข้อมูลให้มีความแม่นยำ และเพิ่มช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลให้ถึงมือผู้ใช้บริการได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกันต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี