เรียน ลุงตู่ ที่นับถือ
ก่อนอื่นผมขออนุญาตเรียก ฯพณฯ นรม.(พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ว่า “ลุงตู่” เหมือนที่ลูกๆ หลานๆ ผมเขาเรียกกันนะครับ เพราะช่วยทำให้ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความสนิทใจ
เมื่อวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2566 ผมได้เฝ้ารอลุงปราศรัยผ่านทางช่อง TV TOP NEWS ตั้งแต่บ่ายสามโมงกว่าๆ เช่นเดียวกับประชาชนในภาคอีสานที่มีศรัทธาในตัวลุง ได้ทยอยกันเดินทางมาจับจองที่นั่งเพื่อฟัง “ลุงตู่” ปราศรัย ที่หน้าศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเมื่อถึงเวลาปราศรัย ประมาณหลังเวลา 18.00 น. เล็กน้อย มีมวลมหาประชาชนพี่น้องชาวอีสานมาชุมนุมฟัง “ลุงตู่” ปราศรัยอย่างคาดไม่ถึง ผมรู้สึกปลาบปลื้มแทนลุงอย่างสุดๆ
และ ที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือการปราศรัยของลุง ไม่มีการคุยโว โอ้อวด โกหก-พกลม ไม่มีการให้สัญญาใดๆ หรือให้ความหวังแก่ประชาชนแบบลมๆ แล้งๆ รวมทั้งไม่มีการปราศรัยทับถมเพื่อนพรรคการเมืองฝ่ายอื่นเลย ประเด็นการปราศรัยของลุงตู่ เป็นประเด็นผลงานที่สามารถมองเห็น และจับต้องได้ ซึ่งลุงตู่และคณะรัฐบาลของลุง “ได้ทำมาแล้ว กำลังทำอยู่ และทำต่อไป” การปราศรัยของลุงตู่ เป็นการปราศรัยแบบมีอารยะ น่าจะเป็นเยี่ยงอย่างแก่นักการเมืองท่านอื่นๆ
ตลอดระยะเวลาที่ผมได้ติดตามการทำงานของลุงในขณะที่เป็น หน. คสช. และ เป็น นรม. ผมสรุปได้ว่าลุง “ไม่ได้เล่นการเมือง” เพื่อเอาแพ้เอาชนะใคร หรือนักการเมืองคนใด แต่ลุงอาสาและตัดสินใจ “มาทำงานการเมือง” ผมคงไม่ต้องอธิบายว่า “การเล่นการเมือง กับ การทำงานการเมือง” ต่างกันอย่างไร วิญญูชนคงทราบดี
ผมเข้าใจดีว่า การที่ลุงได้ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมืองซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงที่สุดในชีวิต แทนที่จะรอการเกษียณอายุราชการทหารแล้วไปอยู่สุขสบายกับครอบครัวที่อบอุ่น ก็เพราะความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ในฐานะ ผบ.ทบ. และภายใต้สถานการณ์คำเรียกร้องของประชาชนคนไทยในช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต แผ่นดินกำลังจะลุกเป็นไฟด้วยคนไทยถูกปลุกปั่นแบ่งแยกโดยนักเล่นการเมืองน้ำลายสอทั้งหลายที่พยายามจะทำลายระบบกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว และพวกพ้อง
ผมเชื่อว่า มีประชาชนคนไทยจำนวนมากที่นับถือการตัดสินใจ และความเสียสละของลุงตู่ที่เข้ามาทำงานการเมืองซึ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคนานาประการซึ่งลุงตู่นอกจากจะต้องแก้ปัญหาทั้งเรื่องการปัดกวาดบ้าน และเก็บขยะที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้เสื่อแล้ว ลุงยังต้องมีภาระหน้าที่สร้างฐานรากของประเทศไทยให้มีความมั่งคั่ง-มั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสังคมควบคู่กันไปด้วย
ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ผ่านมา ลุงได้ทำหน้าที่มาอย่างดีที่สุดทั้งล้างทำความสะอาดบ้าน และสร้างเมืองให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือแก่นานาอารยประเทศ
ในขณะเดียวกัน ผมก็เห็นใจลุงตู่ ที่ยังมีบุคคลบางจำพวกเล่นการเมืองน้ำเน่าเพื่อประโยชน์ตน และ แกนนำมวลชนผู้เห็นต่าง หรือผู้เสียประโยชน์ ได้ปรักปรำภาวะผู้นำของลุงว่าเป็นเผด็จการบ้าง เป็นผู้ทำลายเศรษฐกิจให้ประเทศย่ำแย่บ้างเป็นต้น ถึงกับมี สส.ถ่อยสถุลบางคน “ก่นด่า” ด้วยภาษาที่หยาบคายไม่สมกับเป็น “สส. ผู้ทรงเกียรติ” เลย แม้แต่ประชาชนบางหมู่ บางพวกที่ “ไม่เข้าใจ” ระบบกฎหมาย และเงื่อนไขทางสังคมรวมทั้งไม่เข้าใจในวัฒนธรรมองค์กรของทางราชการ ก็ยังมีความเห็นว่าลุงตู่ไม่เด็ดขาด ยังไม่มีการปฏิรูปประเทศเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปตำรวจ ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ลุงตู่ครับ...เรื่องการถูกคนเลวคนชั่ว “ก่นด่า” นั้นเราคงต้องใช้ “ขันติบารมี” และ “เมตตาบารมี” เข้าระงับ ซึ่งผมเห็นว่าลุงทำได้ดีมาก แต่ “ความไม่รู้-ไม่เข้าใจ” ของประชาชนนั้น บางครั้ง-บางโอกาส เราก็ต้องหาจังหวะอธิบายด้วยความเมตตานะครับ ผมเข้าใจดีว่ามีบางเรื่องบางประเด็น ในฐานะผู้บริหารประเทศไม่สามารถพูดอธิบายอะไรได้มาก แต่ก็ควรจะอธิบายเท่าที่จะชี้แจงได้นะครับ ส่วนจะมีประชาชนเข้าใจแค่ไหนเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลครับ
ยกกรณีตัวอย่าง เช่น “การปฏิรูปตำรวจ” ผมเชื่อว่าเรื่องนี้อยู่ในใจลุงอยู่ตลอดเวลา และลุงได้ดำเนินการแล้วด้วยความรอบคอบ และอดทนด้วยวิธีการทางระบบกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตลอด 8 ปีที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจขึ้นหลายชุด แต่ก็ยังไม่มีผลงานสู่สายตาประชาชนเท่าที่ควร เรื่องนี้ผมไม่ถือว่าเป็นความผิด หรือความบกพร่องของลุงและคณะรัฐบาลของลุงแต่ฝ่ายเดียว มันเป็นความรับผิดชอบของคนในสังคมไทยร่วมกัน ถ้าได้ศึกษาถึงประวัติความเป็นมาของสถาบันตำรวจไทยแล้ว จะเห็นว่าสถาบันตำรวจได้ถูกปลูกฝังและพัฒนาให้เป็นเครื่องมือของนักเล่นการเมืองตั้งแต่ยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ในยุคนั้นตำรวจถูกปลูกฝังให้แข็งกร้าวและสนองเจตนารมณ์ของนายจากรุ่น สู่รุ่น จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรของตำรวจไปเสียแล้ว อุดมการณ์ และ คุณสมบัติของการเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ดูจะจางหายไป
ผมจึงขอถือโอกาสนี้ ฝากการบ้านให้ลุงตู่ในฐานะผู้นำประเทศ ช่วยคิดด้วยว่า จะมีวิธีการอย่างไรให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยได้มีความรับผิดชอบร่วมกันในการปฏิรูปตำรวจไทย เท่าที่ผ่านมาผมเห็นด้วยกับลุงตู่ที่ไม่ใช้อำนาจเด็ดขาดในการปฏิรูปตำรวจ ถึงแม้ว่าลุงตู่จะใช้อำนาจดังกล่าวปฏิรูปตำรวจประสบสำเร็จแต่ความสำเร็จนั้นก็จะไม่มีความยั่งยืน (เพราะถ้าเปลี่ยนรัฐบาล ไม่มีลุงตู่ระบบเลวร้ายก็อาจจะกลับมาเหมือนเดิม) ผมไม่เชื่อว่าการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการปฏิรูปตำรวจจะประสบผลดี ในทางตรงกันข้ามจะเกิดผลกระทบในทางลบต่อการบริหาร และการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ด้วย
แม้ลุงตู่มีผลงานที่ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” เป็นที่ประจักษ์ แต่ลุงก็เป็นมนุษย์ที่มีความบกพร่องบางประการเป็นธรรมดา ลุงเป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว และพูดเร็ว (รัวดังเสียงปืนกล) ทำให้คนอายุ 80 กว่าอย่างผมตามไม่ทัน นอกจากนี้ ลุงยังมีอารมณ์หงุดหงิดบางเวลาและเก็บอารมณ์ประเภทนี้ไม่ค่อยอยู่ แต่ก็น่าเห็นใจครับ เพราะบางครั้งลุงก็ต้องผจญกับ สส.ถ่อยสถุล หรือนักข่าวงี่เง่าบางคนแต่ลุงก็ได้พยายามแก้ไขตัวเองอยู่แล้วใช่ไหมครับฯ สุดท้ายนี้ผมขอเอาใจช่วยลุงตู่นะครับ เพราะ........
ลุงทำดีแล้ว กำลังทำดี และ ทำดีต่อไป
ด้วยความปรารถนาดี
อรัญ สุวรรณบุบผา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี