“ศูนย์รังสรรค์นวัตกรรม (Innovation Sandbox)” เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการการรังสรรค์นวัตกรรม(Innovation Sandbox) ระบบดิจิทัลจัดการข่ายงานปกป้องคุ้มครองเด็กในครอบครัวที่เปราะบาง” ที่ทาง กรุงเทพมหานคร (กทม.) ทำงานร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)-สพร. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย (สวน.) ผ่านบันทึกความตกลงร่วม (MOU) มาตั้งแต่ปี 2563 โดยศูนย์รังสรรค์นวัตกรรมนั้นเริ่มพื้นที่นำร่องณ “โซน 10” ย่านร่มเกล้า-ลาดกระบัง
MOU ดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการทางสังคมและสุขภาพ สร้างระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อประโยชน์ในการใช้ข้อมูลเฉพาะบุคคลของผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ และผู้ขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กจากครอบครัวเปราะบาง (โดยเริ่มต้นที่ชุมชนในเขตลาดกระบัง) ต่อมาในปี 2564 ยังมี MOU ระหว่าง 12 กระทรวง กับ 1 หน่วยงาน เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางให้ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2566 มีการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การจัดการร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตเด็กให้พัฒนาได้ตามศักยภาพ” พร้อมเปิดตัว ศูนย์รังสรรค์นวัตกรรม (Innovation Sandbox) ต้นแบบ “แพลตฟอร์มเติมเต็ม”ที่สามารถแสดงผลเชิงประจักษ์ในการคุ้มครองป้องกันเด็กตั้งแต่ระยะต้นน้ำ ตอบสนองต่อนโยบายขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ณ อาคาร กทม. 2 (ดินแดง)
ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า แพลตฟอร์มเติมเต็ม เป็นกลไกการจัดการความรู้ที่เป็นต้นแบบของระบบข่ายงานให้บริการทางสังคม ร่วมกับชุมชน โดยทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้เกิด “ระบบและระเบียบวิธีการทำงาน” ในศูนย์รังสรรค์นวัตกรรมฯ ที่ทดลองในพื้นที่ชุมชนฟื้นนครร่มเกล้า ระยะ 4 โซน 10 เขตลาดกระบังมาแล้ว และจะดำเนินการทดสอบขยายผลให้ครอบคลุม 6 เขตใน 6 โซน ที่มีความพร้อมของ กทม. ในอีก 3 ปีข้างหน้า
“หลังจากนั้นจะนำใช้ให้ครอบคลุม 50 เขต 69 ศูนย์บริการสาธารณสุข 292 ศูนย์เด็กเล็ก 437 โรงเรียนสังกัด กทม. ในอีก 5 ปี นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) มีความสนใจจะบรรจุในแผน 5 ปี เป็นการจัดความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ กับ สพร. สสส. สวน. เพื่อทดสอบการปรับใช้แพลตฟอร์มเติมเต็มในจังหวัดต่างๆ ทั้ง 4 ภูมิภาค” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “ระบบเติมเต็ม” ช่วยพลิกโฉมบริการเพื่อคุณภาพชีวิตเด็กเปราะบาง เป็นงานสำคัญที่ สสส. ร่วมกับ กทม. สพร. สวน.และ พม. เพื่อรับมือกับสังคมที่ผันผวนอย่างรุนแรง (VUCA) เนื่องจากงานวิจัยและการลงพื้นที่ พบว่า ภาวะเปราะบางของครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ยังขาดมาตรการ วิธีการเครื่องมือในการจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการขาดมาตรการเชิงรุกที่จะป้องกัน และคุ้มครองเด็กและครอบครัวที่เปราะบางก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤต
“การทดสอบระบบเติมเต็มในพื้นที่ทดลอง หรือInnovation Sandbox เป็นการเชื่อมโยงผู้ให้บริการด้านสุขภาพ การศึกษา สวัสดิการสังคม เข้ามาจัดให้เกิดบริการร่วม (Shared Service) นำร่องใน กทม. เมืองหลวงที่ขึ้นชื่อเรื่องการกระจุกตัวของทั้งโอกาสและปัญหา ก่อนที่จะถอดบทเรียนขยายผลสู่พื้นที่อื่น นับเป็นก้าวสำคัญของการคุ้มครองสิทธิและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นต้นทางของการพัฒนาสุขภาพดีตลอดช่วงชีวิต (Lifelong Health) ตามพันธกิจของ สสส.” รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการ สพร. กล่าวว่า ภารกิจการขับเคลื่อนให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยระบบดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษที่ต้องให้สามารถเข้าถึงได้ และไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การมีประเทศที่ดี หมายความว่า ประชาชนทุกคนมีสมาร์ทไลฟ์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ประเทศมีความทันสมัย หรือ สมาร์ทเนชั่น
“แนวคิดของการออกแบบแพลตฟอร์มเติมเต็ม คือการแบ่งปันข้อมูลให้เกิดการเชื่อมต่อบริการต่างๆ ของหน่วยงานรัฐอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ผู้จัดบริการทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนข่าวสารกับผู้รับบริการ เพื่อร่วมวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในทุกมิติร่วมกัน ซึ่ง สพร. พร้อมสนับสนุนวิทยาการดิจิทัล ยกระดับแพลตฟอร์มเติมเต็ม ให้เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ต่อไป” สุพจน์ กล่าว
นพ.วิพุธ พูลเจริญ ผู้อำนวยการมูลนิธิ สวน. กล่าวว่า ความมุ่งหมายของแพลตฟอร์มเติมเต็ม ที่มีเครื่องมือดอกไม้ 4 มิติ สำหรับสื่อความเข้าใจร่วมกันระหว่างเด็กและผู้ปกครอง กับศูนย์บริการสาธารณสุข นักสังคมสงเคราะห์ ครูศูนย์เด็กเล็ก ครูโรงเรียน ฝ่ายพัฒนาสังคมและสวัสดิการของเขต ให้ค้นพบและตระหนักในสถานการณ์ภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อเด็ก และสามารถร่วมวางเป้าหมาย และกำหนดแผนขั้นตอนเปลี่ยนวิถีชีวิต ให้พัฒนาไปได้เต็มตามศักยภาพที่ควรจะเป็นของเด็ก
“พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้ข่ายงานทางสังคมระดับชุมชน และสื่อข่าวสารในรูปข่าวกรอง (Intelligence) ให้กับการจัดข่ายบริการในระดับเขตให้มีการปรับปรุงคุณภาพเท่าทันภาวะคุกคามที่เปลี่ยนไปในอนาคต ตลอดจนสื่อสารข้อจำกัดเชิงระบบขึ้นไปสู่คณะกรรมการคุ้มครองเด็ก กทม. ให้สามารถปรับใช้ข่าวสาร ความรู้และภูมิปัญญาจากประสบการณ์ในชุมชน เพื่อปรับนโยบายคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นพ.วิพุธ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM