“กองทัพ” หรือ “ทหาร” เป็นองค์กรหรืออาชีพที่ถูกตั้งคำถามอย่างมากในระยะหลังๆ โดยเฉพาะเมื่อบทบาทของทหารถูกมองว่าซ้อนทับกับ “การเมือง” ซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลักๆต่อกองทัพ มีทั้งจำนวนนายทหารชั้นนายพลที่มีมากเกินไปหรือไม่? การเกณฑ์ทหารยังจำเป็นอยู่หรือเปล่า? จะดูแลคุณภาพชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยให้ดีขึ้นได้อย่างไร? เป็นต้น เหล่านี้นำมาซึ่งข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปกองทัพ” ที่หลายพรรคการเมืองนำมาใช้หาเสียงเลือกตั้ง
รายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี บุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย ได้มาบอกเล่าหลายเรื่องที่มีคำถามเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกองทัพ แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น ขอว่ากันด้วยเรื่อง “การเมือง” ซึ่งการเลือกตั้ง สส. ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ต้องถือว่า “ช็อก” สำหรับพรรคเพื่อไทย เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะแพ้
จิรายุ ซึ่งเป็น “คนคลองสามวา” อยู่มาตั้งแต่เด็กในย่าน “คู้บอน-คันนายาว” ฉายภาพให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขตคลองสามวา กรุงเทพฯ จากในอดีตที่เป็นเขตไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไร แต่ล่าสุดในปี 2566 ได้รับการประกาศจาก กรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าเป็นเขตที่มีประชากรมากที่สุดของเมืองหลวงไปแล้ว เขตคลองสามวาแบ่งเป็น 5 แขวง มีประชากรมากกว่า 2 แสนคน และมีหมู่บ้านจัดสรรเกิดใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ยิ่งมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูผ่านยิ่งเพิ่มความคึกคักขึ้นไปอีก
“ผมสังเคราะห์ตัวเอง ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคนอื่น เพราะว่าบางทีมันแต่ละพื้นที่ ฝั่งกรุงเทพฯเหนือ กรุงเทพฯใต้ ฝั่งธนบุรี มันจะหลากหลายทางประชากรศาสตร์ ของผมไปดูตัวเลขเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผมไม่ได้น้อยไปกว่าเมื่อปี 2562 ที่ผมชนะ เพียงแต่ว่าคะแนนบุคคลผม คนยังรู้จักจิรายุตอนเป็นฝ่ายค้าน จิรายุมันอภิปราย ทำโน่นนี่นั่น ทำพื้นที่คนก็ยังเลือกผมปริมาณใกล้เคียงกว่าเดิมแต่ปัญหาก็คือว่าหลังๆ นั้นมันมีกระแสบางอย่าง 5 วัน 6 วัน 7 วัน คนก็ไปเทให้กับพรรคก้าวไกลไป
กรุงเทพมหานครเกือบ 33 เขต ก็ไปที่ก้าวไกล น้องๆ ที่มาลงสมัครของพรรคก้าวไกลเรียนตรงไปตรงมาผมก็ไม่เคยเจอจริงๆ ก็ถือว่า ณ วันนี้เราทำงานอย่างเต็มที่แล้ว อันนี้ก็ต้องนำเสนอไปยังพรรคว่าถ้าต้องทำแบบนี้จะต้องแบบไหนอย่างไร ออกมาอีก 3 ปีข้างหน้าเลือกตั้งใหม่เราจะไปในรูปแบบไหน แต่ผมยังมั่นใจว่าคลองสามวานั้นผมยังทำงานอยู่ตลอดเวลา” จิรายุ กล่าว
คำถามต่อมา “ดิจิทัล วอลเล็ต” หรือการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทต่อคน เป็นโครงการ “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทย แต่ก็เป็นโครงการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ประเด็นนี้ จิรายุกล่าวว่า เงินดิจิทัลหากคิดโดยรัฐบาลอย่างเดียวคงแจกพรุ่งนี้แล้วก็จบได้เลย แต่เมื่อมีคนตั้งข้อสังเกตและไปร้องเรียน นายกรัฐมนตรีก็บอกว่าต้องถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก็คือถามไปที่กฤษฎีกา
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า “ที่ผ่านมาไม่ว่ารัฐบาลยุคไหนก็ใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจหลากหลาย” หนึ่งในวิธีการเหล่านั้นคือ “การทำให้เงินหมุนไป” แต่หากคนไม่มีเงินแล้วจะหมุนได้อย่างไร ตนเชื่อว่าต้นปี 2567 น่าจะมีข่าวดี แม้จะใช่หรือไม่ใช่ดิจิทัลก็แล้วแต่ ตนก็เชื่อว่าทุกวันนี้สรรพกำลังของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำ พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีเพราะหากเศรษฐกิจดีทุกอย่างก็มั่นคง-มั่งคั่งตามกันไปอยู่แล้ว
ส่วนคำถามที่ว่าหากกฤษฎีกาไม่ให้ผ่านจะทำอย่างไร ตนยังไม่กล้าคิดไกลขนาดนั้น แต่เชื่อฝีมือพรรคเพื่อไทย หากหนึ่งไปไม่ได้แล้วสองจะไปได้หรือไม่หรือสามจะเป็นอย่างไร ตนเชื่อว่าจะมีทางออก “สมมุติเงินดิจิทัลถ้ามอบได้ก็จบไป แต่ถ้าไม่มอบจะมอบอะไร” ก็อาจมีวิธีการอย่างอื่นได้ แต่ก็ย้ำว่าปี 2567 ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ ขณะที่อีกคำถามหนึ่งคือ “จะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี จาก เศรษฐา ทวีสิน เป็น แพทองธาร ชินวัตร หรือไม่” เพราะหลังๆ เห็น “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ออกทำงานมากขึ้น เช่นในเรื่องซอฟต์ พาวเวอร์
จิรายุ ตอบอย่างชัดเจนว่า “คำถามนี้ยังเร็วไป” เพราะนายกฯ เศรษฐา เพิ่งอยู่ได้เพียง3 เดือน และที่บอกว่านายกฯ เดินทางไปประเทศนั้นประเทศนี้ ขอเปรียบเทียบกับการเปิดร้านค้าซึ่งก็ต้องประชาสัมพันธ์ ตนเห็นด้วยที่นายกฯออกไปพบผู้นำประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ และหากเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจ ขณะนี้เพิ่งเป็นช่วงไตรมาสแรก จะให้มาถึงตั้งโต๊ะเลยแต่ไม่โฆษณา ไม่บอกใครเลยว่าในร้านมีอะไรดีคนก็ไม่มา แต่หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว ท่านอาจลงมาขยี้เพื่อขับเคลื่อนในแต่ละเรื่อง เช่น บัตร 30 บาท สวัสดิการด้านการศึกษา รวมถึงด้านเกณฑ์ทหาร
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในเดือน พ.ค. 2567 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดปัจจุบันจะครบวาระ และ สว. ชุดใหม่ที่จะมาแทนไม่มีอำนาจร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ก็อาจเป็นจังหวะเวลาได้ จุดนี้ในความเห็นส่วนตัวของตนซึ่งไม่ขอก้าวล่วงผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรค ก็ยังมองว่าเร็วเกินไป เพราะถึงเดือน พ.ค. 2567 ก็ยังไม่ครบ 1 ปีด้วยซ้ำ “การทำงานต้องมีเวลา” ดังนั้นนายกฯเศรษฐา ทวีสิน กับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร สามารถทำงานไปด้วยกันได้ “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” เพราะมี 2 คนก็ช่วยกันได้
นอกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว “รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยก็มักถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการเปลี่ยนตัวบ่อยๆ” ประเด็นนี้ จิรายุ ให้ความเห็นว่า อย่างที่เห็น 3 เดือนเปลี่ยน ไม่ใช่รัฐมนตรีท่านนั้นทำงานไม่ได้หรือทำได้ไม่ดี บางทีอาจมีปัญหาสุขภาพ ท่านอาจไม่ไหวแล้วก็ขอเปลี่ยนด้วยตนเอง แต่โดยหลักแล้ว สมมุติมีรัฐมนตรี 100 คน เปลี่ยนจริงๆ เพียง 3-5 คนเป็นเรื่องปกติเพื่อปรับเปลี่ยนให้สมดุลมากขึ้น
“ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ไม่เคยน้อยกว่า2 ปีนะ ที่ผ่านมาเท่าที่เห็น ก็ทำงานขับเคลื่อนได้แต่ดู Output (ผลลัพธ์) ก็แล้วกัน ไม่ว่าคณะรัฐมนตรีจะเป็นใครอย่างไร ผมถามจริงปี 2554 ท่านจำได้ไหมครับนอกจากนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่าใครเป็นรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย บางทีก็จำไม่ได้ แต่เราดู Output ว่าผลของมัน ของรัฐบาลเพื่อไทยว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร มันอยู่แล้วเศรษฐกิจดีไหมมากกว่า” จิรายุ ระบุ
มาถึงภารกิจปัจจุบันอย่างการเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหม จิรายุ บอกเล่าที่มาที่ไปของการรับตำแหน่งนี้ ว่า ต้องย้อนไปในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน แล้ว สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบัน ขณะนั้นทำหน้าที่เป็นประธานวิปฝ่ายค้าน เมื่อต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลซึ่งเวลานั้นมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็มีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางการนำเสนอของ สส. ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อภิปราย อีกทั้งยังนั่งทำงานในห้องเดียวกันที่อาคารรัฐสภา ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนคำแนะนำกัน
โดยท่านสุทินจะให้คำแนะนำเรื่องข้อมูลในการอภิปราย ส่วนตนก็จะแนะนำท่านในด้านสื่อสารมวลชน ดังนั้น พอได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็อาจจะนึกถึงตนเป็นคนแรก ซึ่งเมื่อตนได้มาทำงานเป็นโฆษกกระทรวงกลาโหมแล้ว ในตอนแรกไม่เชื่อว่าองค์กรใหญ่ขนาดนั้นจะมีสรรพกำลังน้อย อย่างฝ่ายประชาสัมพันธ์มีเจ้าหน้าที่อย่างมากก็ไม่เกิน 20 คน เครื่องมือก็ไม่ทันสมัย แต่ก็เข้าใจเพราะแต่ละเหล่าทัพ (บก เรือ อากาศ) รวมถึงกองบัญชาการกองทัพไทย ต่างก็มีโฆษกและทีมประชาสัมพันธ์ของตนเอง
“การทำประชาสัมพันธ์ พี่ๆ ทหารที่เขาอยู่เขาก็อาจเกร็งๆ หน่อย เราเป็นพลเรือนจะพูดอะไรไปมันคำนึงถึงความมั่นคงของชาติไหมมันต้องมีปัญหาหรือไม่อย่างไร หลังๆ ก็เริ่มดีขึ้น เพราะผมอาจจะโชคดีหน่อย เป็นนักข่าวมาทั้งชีวิต เขียนข่าว เป็นรีไรท์เตอร์ เป็น บก. ข่าวหน้า 1 เราก็เขียนข่าวให้พี่ๆ สื่อมวลชนมากกว่าการพูดที่มันสามารถเอาไปตีความได้ บางคำมันบิดได้ อันนี้ก็ถือว่าสบายใจ” จิรายุ เล่าถึงการทำหน้าที่โฆษกกระทรวงกลาโหม
มาถึงชุดคำถามที่เป็น “ไฮไลท์” ของรายการในตอนนี้ ไล่ตั้งแต่ 1.เรือดำน้ำจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อมีปัญหาเรื่องการส่งมอบเครื่องยนต์ เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา เข้ามาในช่วงที่มีการตัดสินใจซื้อเรือดำน้ำไปแล้ว ส่วนเรื่องเครื่องยนต์และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่จะต้องทำความเห็นว่าในกรอบกฎหมายสามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น เปลี่ยนจากเครื่องยนต์เยอรมนีตามสัญญาเดิมเป็นเครื่องยนต์จีนที่มีมาตรเดียวกันได้หรือไม่ หรือเปลี่ยนจากเรือดำน้ำเป็นเรื่องฟรีเกตแทนได้หรือไม่เป็นต้น
2.การเลิกเกณฑ์ทหารจะเป็นไปได้หรือไม่โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ที่ผ่านมาเวลาใครถูกเกณฑ์เข้าไปเป็นทหารก็จะรู้สึกเสียเวลาดังนั้นใครที่ไม่อยากถูกเกณฑ์ทหาร มี 2 วิธี คือหากไม่เรียน รด. (นักศึกษาวิชาทหาร) ก็จะหาข้อมูลว่าจังหวัดใดยอดคนสมัครใจเป็นทหารเกินจำนวนแล้วก็เข้าไป ดังนั้น จะทำอย่างไรให้คนสมัครใจเป็นทหารเพื่อที่จะไม่ต้องมีการเกณฑ์ ซึ่ง สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งเป้าหมายปี 2570 หรือ 2571 การเกณฑ์ทหารจะต้องเป็นศูนย์
แต่คำถามคือ “สมัครใจมาเป็นทหารแล้วจะได้อะไร” บางคนก็คิดว่าเข้าไปแล้วยังต้องไปซักกางเกงในให้เมียนายพลอยู่หรือเปล่า หรือไปล้างรถหรือเปล่า ดังนั้น ก็จะใช้วิธีการเหมือนการเข้าไปเรียน เช่น ถ้าจบ ป.ตรี ผ่อนผันแล้วมาสมัคร เป็น 6 เดือน หรือถ้ากลุ่มที่วุฒิอาจต่ำกว่ากลุ่มแรก สมัครแล้วเป็น 1 ปี แต่ถ้าเกณฑ์ด้วยการสลากแล้วได้ใบแดงก็เป็น 2 ปี กลุ่มเหล่านี้หากสมัครใจเข้ามา สามารถเรียนต่อในวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้นได้
อย่างเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 มีการทำบันทึกความตกลงร่วม (MOU) ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เปิดหลักสูตรให้พลทหารกองประจำการได้เรียนช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ดังนั้น ทหารเกณฑ์ที่ต้องการเรียนหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) หรือฝึกอบรมวิชาชีพช่างฝีมือต่างๆ ก็นำมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยเทคนิคด้านช่างเข้าไป
“พอคุณจบ 6 เดือน หรือ 1 ปีออกไปคุณถือใบประกาศนี้ไปแล้วไปสมัครงานได้ อันนี้ทำให้เห็นก่อน มันต้องมีรุ่น 1 สมมุติปี 2567 งบประมาณที่เราจะเลือกกันประมาณเมษาที่จะถึงนี้ คนแห่เข้ามาสมัคร พอออกไปแล้วมันเวิร์ก รุ่น 2 มันก็มาเยอะ เป้าประสงค์คือมันอาจไม่ถึงปี 2570 ก็ได้ 2568 2569 คนแห่สมัครกันทั้งประเทศ ทุกเหล่าทัพ ก็ไม่ต้องเกณฑ์หลายจังหวัด หลายกองทัพ มีคนไปสมัครเยอะจนแทบไม่ต้องเกณฑ์แล้ว” จิรายุ กล่าว
นอกจากนั้นคนที่เข้ามาเป็นพลทหารกองประจำการ จะมีคะแนนให้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของปี หากพบว่าเรียนเก่งมาก เป็นคนมีทักษะ เช่น เป็นผู้ช่วยช่างสามารถซ่อมยุทโธปกรณ์ต่างๆ ได้ เมื่อออกไปแล้วมีโอกาสกลับเข้ามารับราชการเป็นนายสิบฝ่ายช่างได้เลย ให้นึกถึงโรงเรียนพลตำรวจ ต้องอบรม 6 เดือนจึงเป็นพลตำรวจ แต่พลทหารกองประจำการคืออยู่มาแล้ว 6 เดือน หรือ 1 ปี ถูกฝึกมาแล้ว การอบรมก็น้อยลง งบประมาณก็ใช้น้อยลงด้วย
ส่วนเรื่องสวัสดิการพลทหารกองประจำการ สมมุติปีหนึ่งต้องการทหารเกณฑ์ 1 แสนนาย หากลดเหลือ 7 หมื่นนาย ในส่วนงบประมาณสำหรับอีก 3 หมื่นนาย รัฐมนตรีกลาโหมก็มีแนวคิดว่านำงบฯ ส่วนนี้ไปเพิ่มให้อีก 7 หมื่นนาย ที่เกณฑ์เข้ามาได้หรือไม่ เช่น สมมุติเงินเดือน 1 หมื่นบาท อาจเป็น 11,000 บาท หรือนำไปทำสวัสดิการ ซึ่งตรงนี้สามารถทำได้เร็ว ขณะที่สวัสดิการครอบครัวทหารกลุ่มนี้จะทำได้หรือไม่ ขอทำทีละขั้นตอน เพราะไม่ได้อยู่ในงบประมาณแผ่นดินและกฎหมาย ต้องค่อยๆ ปรับไป
ขณะที่การแก้ปัญหาเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของทหารเกณฑ์หรือพลทหารกองประจำการ เช่น ถูกลงโทษรุนแรงเกินเหตุ หรือเรียกกันว่า “โดนซ่อม”หรือการต้องไปเป็นทหารรับใช้ตามบ้านนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ที่ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ เรื่องนี้ตนเห็นนิมิตหมายอันดี รัฐมนตรีมาจากพลเรือน จากลูกชาวบ้านตนก็มาจากพลเรือน ก็ได้กำชับไปทางกองทัพ ต้องไม่ให้เกิดเรื่องอย่างที่ผ่านมา รวมถึงบทลงโทษนายทหารระดับต่างๆ ขึ้นมาต้องเข้มงวด ขณะเดียวกันทุกวันนี้ทุกคนเป็นนักข่าว โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปได้ก็เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะลดลงไป
3.อดีตผู้บัญชาการเหล่าทัพกับการได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่ในบ้านพักของราชการได้แม้เกษียณอายุราชการไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ จิรายุ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน แต่ประเด็นนี้ก็มีความรู้สึก 2 มุม หากคิดว่าผู้นำเหล่าทัพที่ทำประโยชน์ต่อชาติสมควรได้รับการดูแลหรือไม่ อย่างข้าราชการเกษียณอายุ 60 ปี ได้บำนาญ ถ้าเป็นข้าราชการระดับสูงที่ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองควรได้อะไรถ้าท่านไม่เอาบำนาญ หรือท่านได้บ้าน ได้คนที่ดูแล ก็สุดแท้แล้วแต่ ต้องขอกลับไปพูดคุย
แต่ตอนนี้ยอมรับว่ายังไม่ได้เข้าไปดูเรื่องดังกล่าวเพราะเพิ่ง 90 วัน จะเน้นทำเรื่องเกณฑ์ทหาร ลดกำลังพล ลดจำนวนนายทหารชั้นนายพล นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ และตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะทุกวันนี้ทหารก็ต้องมาดูประเด็นความมั่นคงที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ด้วย 4.โครงการสมัครใจเกษียณก่อนถึงกำหนดเกษียณอายุราชการ (Early Retire) จะเกิดขึ้นเมื่อใดและใครสามารถเข้าร่วมโครงการได้บ้าง เรื่องนี้สืบเนื่องจากมีนายทหารหลายท่าน อายุ 55-58 ปีรู้สึกว่าอยู่ไปก็กินเงินเดือนกองทัพไปวันๆ เพราะบางหน่วยก็เปลี่ยนไปตามสภาพ
“กระแสสังคมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หน่วยนี้สำคัญมาก พอผ่านมา 10 ปีมันไม่มีงานแล้วมันเลิกไป เดี๋ยวนี้คนไปใช้เทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ สมมุติว่าเจ้าหน้าที่พิมพ์ข่าว เจ้าหน้าที่โทรเลข เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยน วันๆ ท่านก็อาจจะแต่งเครื่องแบบไป ก็บอกว่าจะขอ Early Retireได้ไหม ถ้าขอ Early Retire กระทรวงหรือกองทัพจะให้ตอบแทนอะไร ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มันก็มีทุกกระทรวงอยู่แล้ว” โฆษกกระทรวงกลาโหม ยกตัวอย่าง
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวเสริมอีกว่าสำหรับโครงการ Early Retire คาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของกระทรวงฯ ประมาณเดือนม.ค.-มี.ค. 2567 และน่าจะเห็นหลักการออกมาประมาณช่วงกลางปีเดียวกัน เพราะแม้กระทรวงอื่นจะทำกันมาแล้ว แต่ถือเป็นเรื่องใหม่ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายทหารบางท่านก็อยากอยู่ถึงครบอายุ 60 ปี เพราะมีบ้านพักในหน่วยทหาร หรือต้องดูแลครอบครัว แต่บางท่านก็อยากเกษียณก่อนถึงอายุ 60 ปี เอาเงินก้อนไปลงทุนทำธุรกิจ อย่างตนก็เคยเจอนายทหารลาออกมาเปิดร้านอาหาร แต่เป็นการลาออกเองแบบไม่ได้อะไร
“ถ้าทำลักษณะเช่นนี้ มันน่าจะเป็นมาตรฐานของกองทัพว่าควรจะแบบไหนอย่างไร” จิรายุ กล่าว
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอดสุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่อง YouTube “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี