ความจริงอันเที่ยงแท้ "เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้"
ในทุกย่างก้าวของชีวิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับเราเสมอมาและจะอยู่ตลอดไป คือความจริงที่ว่า "เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้" พระพุทธองค์ทรงย้ำเตือนสัจธรรมอันนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พุทธบริษัททั้งหลายได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร และใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงสอนให้พิจารณา มรณสติ อยู่เป็นนิตย์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตไม่ให้หลงติดอยู่ในโลกธรรม
@ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏสงสาร
ตามหลักพระพุทธศาสนา ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดทุกสิ่งอย่าง แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านภพภูมิ เปรียบเสมือนการถอดเสื้อผ้าเก่าที่ขาดวิ่นออก แล้วสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ที่เหมาะสมกับภพภูมิที่เราจะไป แม้ร่างกายจะดับสูญ แต่จิตวิญญาณยังคงดำรงอยู่และดำเนินต่อไปตามกรรมที่ได้กระทำไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ การพิจารณาความจริงข้อนี้ทำให้เราไม่ยึดติดในร่างกายที่ต้องแก่ เจ็บ ตาย และเห็นแจ้งถึงอนัตตา
@ความตายเป็นเครื่องเตือนสติให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
เมื่อเราสำนึกอยู่เสมอว่าชีวิตมีวันสิ้นสุด เราจะเริ่มมองเห็นคุณค่าของเวลาและโอกาสที่มีอยู่ เราจะตั้งใจทำความดี สร้างบุญกุศล ละเว้นความชั่ว หมั่นฝึกฝนจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะทุกการกระทำของเราในวันนี้ จะเป็นปัจจัยกำหนดภพภูมิในสัมปรายภพ ไม่มีอะไรที่เราสามารถนำติดตัวไปได้นอกจากบุญและบาปที่เราได้สร้างสมไว้ มรณสติ ช่วยย้ำเตือนเราอยู่เสมอว่า "วันเวลาเหลือน้อยแล้ว" จึงไม่ควรประมาทในการสร้างกุศล ไม่ควรถ่วงเวลาในการทำความดี ไม่ควรมัวเมาในสิ่งฉาบฉวยภายนอก
@การพิจารณามรณสติ: วิถีปฏิบัติเพื่อความไม่ประมาท
การพิจารณามรณสติ คือการระลึกถึงความตายอยู่เนืองๆ อย่างแยบคายและถูกวิธี ไม่ใช่การระลึกถึงด้วยความกลัวหรือท้อแท้ แต่เป็นการระลึกเพื่อกระตุ้นจิตให้เกิดความเพียรในการทำความดี มีหลายวิธีในการพิจารณา เช่น
พิจารณาความเสื่อมของร่างกาย ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง มีความแก่ ความเจ็บ และความตายเป็นธรรมดา จะต้องแตกดับลงไปในที่สุด
พิจารณาความพลัดพราก เราจะต้องพลัดพรากจากคนรัก ของรัก ของหวงแหนทั้งหลายในที่สุด ไม่มีอะไรคงอยู่กับเราได้ตลอดไป
พิจารณาสัจธรรมของผู้ที่ล่วงลับ ระลึกถึงผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่แล้วล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท มิตรสหาย หรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความตายได้
พิจารณาความไม่แน่นอนของชีวิต ความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่จำกัดเพศ วัย สถานะ หรือสถานที่ ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่
พิจารณาถึงความจริงที่ว่าเราไม่ได้อยู่ไปตลอด เรามีชีวิตอยู่เพียงชั่วคราว ดุจดั่งฟองน้ำบนผิวน้ำที่เกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป
@การเตรียมพร้อมเผชิญความตายด้วยสติและปัญญา
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความตายอย่างมีสติ ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวหรือความวิตกกังวล แต่ด้วยความเข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด สร้างบุญกุศลให้มากที่สุด และหมั่นเจริญสติภาวนาอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณามรณสติ จะช่วยให้จิตใจไม่หวั่นไหวเมื่อต้องเผชิญกับความพลัดพราก
@สติและการปล่อยวาง หนทางสู่ความสงบก่อนมรณะ
เมื่อสติมา ปัญญาเกิด เราจะสามารถมองเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ไม่ยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ เมื่อจิตไม่ยึดติด ความทุกข์ก็ไม่สามารถเกาะเกี่ยวได้ การฝึกฝนจิตใจให้รู้จักปล่อยวาง ไม่แบกรับภาระที่หนักอึ้ง ด้วยการเจริญมรณสติอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราเห็นว่าสังขารเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เมื่อถึงคราวที่ร่างกายต้องแตกดับ จิตใจก็จะสงบ ไม่กระวนกระวาย สามารถจากไปอย่างสงบ เย็น และเป็นสุข
ขอให้ทุกท่านได้น้อมนำคำสอนเรื่องความตายและการพิจารณามรณสติไปพิจารณา เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติในการดำเนินชีวิตให้เต็มไปด้วยคุณค่าและความดีงาม และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งสุดท้ายอย่างมีสติและปัญญาเทอญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี