เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9 ได้กล่าวถึงการปฏิบัติการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในส่วนกลาง และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่หลังมีการจับกุม 2 ผู้ต้องหาชาวจ.นราธิวาสวางระเบิดปลอมป่วนหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เมื่อวานนี้ว่า ในเบื้องต้นได้ทำการตรวจสอบ ผู้ต้องสงสัยตามภาพวงจรปิด ที่จับกุมได้ทั้ง 2 คน ในขณะเดินทางจาก กทม.มายังภาคใต้ เพื่อหาความเชื่อมโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดหรือไม่
"ในเบื้องต้นพบว่า มีความเชื่อมโยง แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด เพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้น ขอให้เป็นหน้าที่ของ ผบ.ตร.ในการให้ข่าว ส่วนในพื้นที่ จะทำการตรวจสอบ และติดตามผู้เกี่ยวข้องที่พากพึงถึง มาสอบสวนเพื่อหาพยาน หลักฐานและการเชื่อมโยง"ผบช.ภ.9 ระบุ
ด้านแหล่งข่าวจากหน่วยความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เผยว่า จากหลักฐานของการประกอบระเบิดที่พบในเบื้องต้น ซึ่งยังมีรายละเอียดไม่มากนัก แต่พอที่จะยืนยันในเบื้องต้นว่า การประกอบระเบิดแสวงเครื่อง ทั้งวงจร ส่วนประกอบ การจุดระเบิด การตั้งเวลา หน่วยหน่วงเอาไว้ เป็นลักษณะที่คล้ายกับ ระเบิดที่ใช้ในการก่อการร้ายในพื้นที่สามจังหวัด
สำหรับในเรื่องสิ่งที่ใช้เป็นสะเก็ดระเบิดนั้น ผู้ประกอบระเบิดจะใช้วัตถุที่อยู่ในพื้นที่ เช่น ถ้าเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะเป็นเหล็กเส้นนำมาตัดสั้นๆเพื่อเป็นสะเก็ดระเบิด ถ้าทำในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะเป็น ลูกปราย หรือลูกปืนที่ใช้เป็นอะไหล่รถ เพราะเป็นวัตถุ สิ่งของ ที่หาได้ทั่วไป และการซื้อหา ไม่มีใครสงสัย ว่าจะนำไปประกอบระเบิดแสวงเครื่อง
ขณะที่หน่วยเก็บกู้ระเบิดที่ชำนาญการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เผยว่า ลักษณะของระเบิดแสวงเครื่อง และระเบิดเพลิง ที่พบที่กรุงเทพฯ หลายจุด เป็นแบบเดียวกับ ที่แนวร่วม ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้ก่อเหตุซึ่งเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ที่ไม่ประสงค์เอาชีวิต แต่ต้องการให้มีการบาดเจ็บ และให้เกิดเหตุตื่นตระหนก และวุ่นวายเท่านั้น
"ที่สำคัญระเบิดครั้งนี้ คล้ายกับการวางระเบิดดาวกระจายที่เคยเกิดขึ้นในจังหวัดภาคใต้ตอนบนที่จ.ตรัง พังงา ภูเก็ต และที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือนสิงหาคม 3 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็น 10 กว่าราย และจับได้จำนวนหนึ่ง"
สำหรับในกรุงเทพฯนั้น มีสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือ”แนวร่วม” เดินทางไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในย่านชุมชนมุสลิม จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมา"แกนนำ” และ “แนวร่วม” ผู้สั่งการ และ ปฏิบัติการ ที่หลบหนี การจับกุม และการติดตาม จากเจ้าหน้าที่ไปหลบซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมี “แนวร่วม” ที่ไม่มีหมายจับ แต่ใช้วิธีการเดินทางเข้าๆ ออก ระหว่างจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรุงเทพฯเพราะมีธุรกิจ การค้า รวมทั้งใช้กรุงเทพฯเป็นฐานในการสั่งการให้ก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงมีหลักฐานคือ “แนวร่วม” ในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลเคยรับจ้างให้ก่อการร้าย เพื่อป่วนเมืองหลายครั้ง และในการวางระเบิดหลายจุดในครั้งนี้ ในเบื้องต้นหน่วยข่าวความมั่นคง เชื่อว่าน่าจะเป็นการ”รับจ้าง”ของแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อสร้างสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมายังไม่พบจุดเชื่อมโยงว่าบีอาร์เอ็นมีแผนในการก่อการร้ายใน กรุงเทพฯ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ใด ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นำไปสู่การก่อการร้ายในกรุงเทพฯของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทางด้านหน่วยปฏิบัติการร่วม กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จ.นราธิวาส เปิดเผยว่า ได้รับการประสานชุดจับกุมผู้ต้องสงสัยการวางระเบิดที่หน้า สชต. ซึ่งเป็นชาว อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทั้ง 2 คน โดยได้จัดชุด ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นบ้านของบิดาผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 รายจากการตรวจค้น ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย หรือ สิ่งที่ใช้ในการ ประกอบวัตถุระเบิดแต่อย่างใด
"แต่จากการตรวจสอบประวัติของบุคคลทั้ง 2 พบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น อาร์เคเคที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ แต่ยังไม่มีหมายจับไม่ว่าจะเป็นหมาย ป.วิอาญา หรือหมาย พรบ.ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าคนทั้ง 2 เดินทางเข้ากทม.เมื่อวันที่ 11 ก.ค.62 ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเดินทางไปกทม.เพื่อไปก่อเหตุร้ายครั้งนี้โดยเฉพาะ หลังก่อเหตุจึงหลบหนีเพื่อกลับมา จ.นราธิวาส"แหล่งข่าวระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี