หลังสิ้นสุดฤดูแล้ง สทนช.บูรณาการหน่วยงานด้านน้ำพร้อมรับมือฤดูฝน คาดเดือนพ.ค.-มิ.ย.จะเกิดพายุฤดูร้อน น้ำไหลเข้าอ่างฯกว่า 4,000 ล้าน ลบ.ม.เพียงพอใช้หากเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง พร้อมเตรียมวางแผนรับมือน้ำหลาก น้ำท่วม ดินถล่ม คาดปีนี้น้ำจะมากกว่าปีที่ผ่านมา และวางมาตรการช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ย้ายเข้าสู่ภาคการเกษตร
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยว่า การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 เมษายนดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ยกเว้นลุ่มเจ้าพระยาที่ต้องจัดสรรน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาช่วยเหลือมากกว่าแผน 300 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังสิ้นฤดูฝนปีนี้ แหล่งน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคกลางจะมีน้ำมากกว่าปี 2562 โดยช่วงต้นฤดูฝนเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2563 ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อน โดยมีการประเมินว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำในช่วง 2 เดือนนี้ อีกประมาณ 4,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้ำจำนวนนี้จะทำการสำรองไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค ในช่วงฝนทิ้งช่วงต่อไป
สำหรับเกษตรกรสามารถเริ่มเตรียมแปลงข้าวนาปีได้ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝนปีนี้ ระหว่างวันที่ 18-21 พฤษภาคม และจะเกิดภาวะฝนจะทิ้งช่วงประมาณปลายมิถุนายนต่อกรกฎาคม ซึ่งวางแผนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกักเก็บน้ำช่วงต้นฤดูฝนไว้ให้มากที่สุด เพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอที่จะใช้ในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะไม่กระทบต่อภาคเกษตรมากนัก เนื่องจากข้าวนาปรังได้เก็บเกี่ยวทั้งหมดแล้ว ส่วนข้าวนาปีความชื้นสัมพัทธ์ที่ยังคงมีในดินและอากาศ ข้าวจะไม่ขาดแคลนน้ำ และฝนจะเริ่มตกอีกครั้งประมาณเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายนจะมีพายุเข้า อาจจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังคือ จังหวัดจันทบุรี ตราด เชียงใหม่ เชียงราย นครพนม อุบลราชธานี และบางส่วนของภาคกลาง ในส่วนพื้นที่ภาคใต้ที่ต้องระวังในช่วง 1-2 เดือนนี้ คือ จังหวัดระนอง ชุมพร พังงา และสุราษฎร์ธานี
“สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ฤดูฝน ปี 2563 โดยจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยง คาดการณ์น้ำหลากน้ำท่วม ดินถล่มแจกจ่ายให้แต่ละจังหวัดทราบ เพื่อเตรียมรับมือล่วงหน้า มีการพิจารณาปรับแผนเพาะปลูกในพื้นที่ลุ่มต่ำ จัดทำเกณฑ์ระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำ/เขื่อน ให้หน่วยงานตรวจสอบสภาพอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ สถานีโทรมาตรให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเข้าหน้าฝน กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำมิให้เป็นอุปสรรคต่อการไหล เร่งขุดลอกคูคลอง กำจัดวัชพืชทางน้ำ เตรียมพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือพร้อมเข้าช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยซ้ำซาก และประชาสัมพันธ์เครือข่ายกรรมการลุ่มน้ำ รวมถึงคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดให้สร้างการรับรู้ต่อประชาชนหลักเกณฑ์การแจ้งเตือนภัยอย่างตรงกัน” ดร.สมเกียรติกล่าว
เลขาธิการ สทนช. กล่าวด้วยว่า สำหรับในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ขณะนี้เริ่มมีน้ำไหลเข้าแล้วไม่น้อยกว่า 5 ล้าน ลบ.ม. ผนวกกับการเจรจาขอซื้อน้ำจืดจากบ่อเอกชน ทำให้สถานการณ์ภัยแล้งช่วงนี้เริ่มคลี่คลาย และจะมีน้ำเพียงพอกับความต้องการไปตลอดจนเข้าสู่ฤดูฝนอย่างแน่นอน ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหารือร่วมกันเพื่อขยับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำภาคตะวันออก
11-13 โครงการ ให้ดำเนินการเร็วขึ้น เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำวังโตนด โครงการผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแกด (ลุ่มน้ำวังโตนด) มายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจด้านน้ำทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC
“ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 นั้น ส่งผลทำให้แรงงานคืนถิ่นมากขึ้น จึงเตรียมพร้อมแหล่งน้ำพื้นฐานเพื่อให้เพียงพอต่อการทำการเกษตรเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงต้นฤดูฝนไว้แล้ว รวมถึงมีการจัดสรรงบประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจ้างแรงงานคืนถิ่นเหล่านี้ เพื่อสร้างรายได้ ลดผลกระทบที่เกิดขึ้น และไม่เป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี