20 มกราคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านโภชนาการจากส่วนของพืชกัญชาและกัญชง ที่ได้รับการยกเว้นจากการเป็นยาเสพติด ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงมีการจัดแสดงตัวอย่างอาหารและเครื่องดื่มที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ซึ่ง นพ.กิตติ โล่สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันกัญชาทางการแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากเดิมนั้น ประชาชนไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆ จากกัญชาได้เลย
กระทั่งปัจจุบันที่กฎหมายเปิดช่องให้ใช้นำใบ ราก ต้นกัญชา ไปใช้ประโยชน์ได้ จากเดิมที่ส่วนประกอบเหล่านี้ที่เหลือจากการผลิตกัญชาเพื่อนำดอกไปใช้ทางการแพทย์ต้องทำลายทิ้งอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ปลูกกัญชาต้องเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ได้ใบรับอนุญาตปลูกจากรัฐ ซึ่งขณะนี้กำลังทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อวางระบบให้มั่นใจว่าส่วนประกอบของกัญชาที่นำออกมาจำหน่ายเป็นของถูกกฎหมายจริงๆ ไม่ใช่จากที่อื่นปลอมปนมา เพราะกัฐชาหากปลูกอย่างไม่ถูกต้องก็จะมีสารโลหะหนัก หรือสารกำจัดศัตรูพืชเจือปนด้วย
“วันนี้เขาจะจับคู่กับหน่วยงานของรัฐใช้ด้านการแพทย์ เขาก็ต้องตรวจสารสำคัญต่างๆ รวมถึงตรวจพวกโลกหะหนัก ยาฆ่าแมลง ซึ่งตอนขอออนุญาตปลูกก็เป็นเกณฑ์ GAP (เกษตรปลอดภัย) อยู่แล้ว คุณปลูกต้องไม่มีสารปนเปื้อน โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง อย่างเช่นยาสมุนไพรต่างๆ โรงพยาบาลที่ผลิตยาถ้าตรวจเจอเขาก็ไม่เอาแล้ว เขาก็ Reject (ตีกลับ) หมดอยู่ดี ฉะนั้นอย่างไรก็กระบวนการที่จะเอาใบ ราก ต้นไปใช้ประโยชน์ มันก็อยู่ในกระบวนการปลูกเอาดอกไปใช้ประโยชน์อยู่แล้ว” นพ.กิตติ กล่าว
นพ.กิตติ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ยังต้องให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับปริมาณของกัญชาที่ร่างกายสามารถรับได้ ซึ่งคล้ายกับกรณีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีเกณฑ์ว่าดื่มได้กี่แก้วถึงจะเริ่มมีอาการมึนเมา เช่น เบื้องต้นแนะนำว่าไม่ควรบริโภคใบกัญชาเกิน 5 ใบต่อวัน โดยหากเป็นการกินใบสดๆ อย่างการนำไปทำสลัดอาจไม่เป็นอะไรมาก แต่หากเป็นการนำใบกัญชาไปผ่านความร้อน ก็จะเกิดสาร THC ที่มีผลให้เกิดอาการมึนเมา
แต่ก็ต้องดูเป็นชนิดไป อาทิ หากนำไปทอดน้ำมันแต่ไม่กินน้ำมันอาจไม่เป็นอะไร แต่หากผ่านความร้อนแล้วกินทั้งใบ เช่น นำไปอบกับขนมปัง ก็จะมีความเสี่ยงกับสาร THC ได้ ซึ่งก็เหมือนกับอาหารอื่นๆ ที่กินมากๆ แล้วอาจมีอาการมึนเมา เช่น ข้าวหมาก ถึงกระนั้น โดยปกติก็มักจะไมได้ใช้กัญชากันเยอะ อย่างสมัยโบราณที่ใส่ในต้มเนื้อวัว ทำให้ปริมาณสารมีน้อยมาก ดังนั้นคนที่ปรุงอาหารต้องมีความรู้และสามารถปรุงอาหารให้ปลอดภัยกับผู้บริโภค
ขณะที่ ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า สำหรับผู้ประกอบอาหาร สิ่งแรกที่ต้องย้ำคือต้องใช้ใบกัญชาที่ปลูกอย่างถูกกฎหมายเท่านั้นจะได้ไม่มีความผิด จากนั้นเมื่อได้ใบกัญชามาแล้ว อยากให้เริ่มใช้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน เช่น ครึ่งใบ เพื่อดูว่าผู้ที่รับประทานไปแล้วจะเกิดผลอย่างไรกับร่างกาย เพราะบางคนแม้จะรับกัญชาในปริมาณต่ำแต่ร่างกายตอบสนองอย่างรุนแรง คล้ายกับบางคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงนิดเดียวก็มีอาการมึนมาแล้ว
ส่วนผู้บริโภคนั้น บุคคลต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา ประกอบด้วย 1.ผู้ที่ร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต 2.ผู้ป่วยโรคหัวใจ 3.ผู้มีอายุต่ำกว่า 25 ปี 4.หญิงตั้งครรภ์ 5.หญิงที่ต้องให้นมบุตร และ 6.ผู้ใช้ยาที่มีผลต่อจิตประสาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังต้องศึกษากันต่อไปว่าการบริโภคกัญชาปริมาณเท่าใดจึงจะเริ่มมีอาการมึนเมา เบื้องต้นจึงไม่แนะนำให้บริโภคแล้วขับขี่ยานพาหนะ
“ถ้ากินแล้วภายใน 4 ชั่วโมง มันก็ไม่ควรขับรถหรือยานพาหนะ อันนี้เป็นงานวิจัยในต่างประเทศ เช่น แคนาดา เราก็ Apply (ประยุกต์) บางส่วนจากองค์ความรู้ที่เขามี” ภญ.ผกากรอง ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี