“บิ๊กอู๊ด” นำแถลง “สืบตม.3” รวบชายชาวญี่ปุ่นตัวการใหญ่ “แก๊งคอลเซนเตอร์” หนีซุกไทย ตุ๋นเหยื่อกว่า 40 ล้านเยน เผยแก๊งคอลเซนเตอร์อาละวาดหนักใน “ญี่ปุ่น” ก่อเหตุกว่า 16,851 คดี มูลค่าเสียหายถึง 31,580 ล้านเยน
30 เมษายน 2564 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) , พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3 , พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ , พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ , พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด , พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายข้ามชาติ
สืบเนื่องจาก กก.สส.บก.ตม.3 ได้ปฏิบัติงานสืบสวนก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ และได้คอยช่วยสอดส่องพฤติกรรมของคนต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เป็นที่พึงประสงค์ ซึ่งมีพฤติกรรมใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่ออาชญากรรม หรือเป็นที่หลบหนีซ่อนตัวจากคดี โดยพฤติการณ์กรณีนี้คนร้ายรายนี้ชื่อ นาย Mizuma อายุ 40 ปี ปรากฏข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นว่าได้กระทำผิดในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยร่วมกับพวก 8 คน มีนาย Mizuma เป็นตัวการสำคัญผู้สั่งการในขบวนการนี้ทั้งหมด พฤติกรรมของแก๊งนี้จะโทร.ไปหาเหยื่อและแอบอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเป็นจะต้องตรวจสอบบัญชีเงินฝากเหยื่อ แล้วหลอกเอารหัสพินของบัตร จากนั้นจะส่งคนร้ายอีกคนปลอมตัวเป็นตำรวจ ไปที่บ้านเหยื่อแล้วใช้กลอุบายหลอกขโมยบัตรกดเงินของเหยื่อไปกดเงินเอาเงินไป
ต่อมาชุดสวนสืบ กก.สส.บก.ตม.3 สืบทราบว่า นาย Mizuma พักอาศัยที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จึงได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า นาย Mizuma เป็นตัวของบุคคลที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัวจริงและยังเป็นบุคคลตามหมายจับของตำรวจสากล นอกจากนั้นยังพบว่า ได้โดยเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยวีซ่าท่องเที่ยว และขณะนี้ได้สิ้นสุดการอนุญาตแล้ว จึงได้ควบคุมตัวพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด” นำส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับคดีดังกล่าวนี้ จากสถิติของสำนักงานตำรวจญี่ปุ่น ในปี 2019 พบว่า คดีฉ้อโกงคอลเซ็นเตอร์มีจำนวนมากถึง 16,851 คดี รวมมูลค่าความเสียหายถึง 31,580 ล้านเยน หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ในส่วนคดีของแก๊งนี้ ได้ร่วมกันก่อเหตุรวมทั้งสิ้น 103 คดี มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกเงิน 46 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย 40.5 ล้านเยน หรือประมาณ 12 ล้านบาท
ด้าน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม./โฆษก สตม. , พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม. ร่วมกันเปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ทั้งนี้ สตม.จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี