ในวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม ที่กำลังจะถึงนี้ เป็นวันเลือกตั้งนายกสภาทนายความฯพร้อมคณะกรรมการบริหาร ซึ่งสภาทนายความฯเป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนในทางกฎหมายมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะคดีด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
โดยในครั้งนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสอาสารับใช้พี่น้องทนายความ ลงสมัครในครั้งนี้ด้วย โดยเหตุผลที่มาในการตัดสินใจลงสมัครเนื่องจาก ถูกใจในนโยบายทางด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมของคณะดร.สมบัติ วงศ์กำแหง (นายกเบอร์ 10 กรรมการเบอร์ 69-90)
ซึ่งจากการถอดนโนบายของผู้สมัครทั้งหมดมีเพียงคณะเดียวที่มีถ้อยคำแถลงและมีนโยบายในด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนกล่าวคือ “นโยบายข้อ 9 จัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก สตรี คนชรา เกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวทุกศาลจังหวัดเพื่อเชิดชูเกียรติ ศักดิ์ศรีสตรี วิชาชีพทนายความ ตลอดจนสร้างเครือข่ายทนายความเพื่อความยุติธรรมขจัดความเหลื่อมล้ำและความรุนแรงในเด็ก สตรี และครอบครัว และเสริมสร้างเครือข่ายทนายความสิทธิมนุษยชนและทนายความสิ่งแวดล้อม” ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการทำงานของทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผู้เขียนได้มีโอกาสอยู่ในแวดวงการทำงานช่วยเหลือประชาชนทางด้านคดีสิ่งแวดล้อมและคดีสิทธิมนุษยชน ทั้งในนามของสภาทนายความฯและหน่วยงานอื่น ปัญหาอันดับแรกที่เห็นได้เด่นชัดคือผู้เสียหายและทนายความจะต้องกระทบและเผชิญกับผู้มีอิทธิพลรวมถึงอำนาจรัฐ
โดยปัญหาทางกฎหมายในคดีประเภทนี้แม้หน่วยงานรัฐจะพยายามมีนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนก็ตาม แต่ก็ยังพบปัญหาหลักคือ ความมีส่วนได้เสีย เนื่องจากหลายครั้งที่ผู้เสียหายจะต้องยื่นฟ้องต่อหน่วยงานรัฐที่ทำไม่ถูกต้องตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ในคดีสิทธิมนุษยชนนอกจากเป็นกรณีที่การละเมิดทางกฎหมายเกิดจากภาคเอกชนแล้ว ยังมีอีกไม่น้อยที่การละเมิดอันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น กรณีวิสามัญรวมทั้งกรณีคดีเกี่ยวกับทางการเมือง
การทำงานช่วยเหลือทางกฎหมายของพี่น้องทนายความที่เป็นทนายความจิตอาสาที่มาแก้ต่างให้กับประชาชนในกรณีดังกล่าว มักถูกกดดันจากผู้มีอิทธิพล หน่วยงานรัฐ รวมถึงถูกกดดันจากทางการเมือง เช่นเดียวกับตัวความ ทำให้ทนายความหลายท่านซึ่งมีจิตอาสาในการช่วยเหลือประชาชนทางด้านกฎหมายเสียกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ซึ่งสวนทางกับปริมาณคดีสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจากการที่ได้ร่วมงานและสัมผัสทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมล้วนเป็นคนมีความกล้าและมีความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้งการสื่อสารของสังคมรวมถึงองค์กรต้นสังกัด ในเชิงให้ความสนับสนุนในการทำงาน สนับสนุนในแนวทางความคิด ให้เห็นสิ่งว่างานที่พวกเขากำลังทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นไปตามหลักนิติศาสตร์ นิติรัฐ และเป็นการช่วยเหลือทางด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ยังมีน้อยไป
หากสภาทนายความฯ ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทางด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน มีนโยบายสนับสนุนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมแล้ว การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสร้างศรัทธาต่อประชาชนที่มีต่อสภาทนายความฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี