กรณีข่าวดังกรณีชาวต่างชาติ ทำร้ายร่างกายคนไทยและอ้างเป็นเจ้าของพื้นที่ดินชายหาด ที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในขณะนี้
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายที่ดินคงเป็นประเด็นไขข้อข้องใจว่าที่ดินชายหาดสามารถเป็นที่ดินส่วนบุคคลได้หรือไม่
ในเรื่องดังกล่าวมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ได้บัญญัติไว้ว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นรวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดิน ซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือ สงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น
(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน
(2) ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เช่น ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ เป็นต้น
(3) ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า ป้อมและโรงทหาร สำนักราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์
โดยจะเห็นได้ว่ากฎหมายดังกล่าวใน อนุ 2 ได้ให้นิยามไว้ว่าที่ดินทรัพย์สินที่พลเมืองใช้ร่วมกันเป็นต้น อาทิ ที่ชายตลิ่งซึ่งหมายถึงพื้นที่ชายตลิ่งไม่ว่าจะเป็นริมแม่น้ำหรือชายหาด ดังนั้นในพื้นที่ชายตลิ่ง ทั้งริมแม่น้ำและชายหาดทั่วประเทศประชาชนบุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือครองและอ้างสิทธิ์เป็นของตนเองไม่ได้
นอกจากนี้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 ยังบัญญัติว่า ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันไม่ได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ หรือพระราชกฤษฎีกา
ดังนั้นเมื่อที่ดินชายตลิ่ง ได้บัญญัติไว้ว่าเป็นที่ดินสาธารณะแล้วเมื่อพิจารณาจากมาตรา 1305 จะเห็นว่าการโอนก็จะทำไม่ได้เช่นเดียวกัน
ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 บัญญัติไว้ว่า ท่านห้ามมิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่
โดยทั้งสองมาตราดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดหลักเกณฑ์ข้อห้ามมิให้ยกเรื่องอายุความเข้ามาต่อสู้กับแผ่นดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ อาทิ การครอบครองปรปักษ์รวมถึงห้ามมิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดินด้วย
ข้อสำคัญเรื่องการตีความนั้นคือคำว่าชายหาด “ชายหาด” หมายถึง ที่ดินที่น้ำทะเลขึ้นและลง ท่วมถึงจรดแค่แนวพันธุ์พืช และพันธุ์ไม้ของแผ่นดิน จากจุดนี้ลงไปสุดทะเล เป็นชายหาด แสดงให้เห็นว่าชายหาดนั้นจะต้องเป็นพื้นที่ที่น้ำทะเลขึ้นและลงและมีสภาพเป็นชายหาด
นอกจากนี้ในเรื่องของการก่อสร้างยังมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 หมวดที่ 4 ข้อ 42 ระบุ
ไว้ว่า อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ คู คลองลำราง หรือลำกระโดง ถ้าแหล่งน้ำสาธารณะนั้นมีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะนั้นไม่น้อยกว่า 3 เมตร แต่ถ้าแหล่งน้ำสาธารณะนั้นมีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะนั้นไม่น้อยกว่า 6 เมตร
สำหรับอาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้แหล่งน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น บึง ทะเลสาบ หรือทะเล ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะนั้นไม่น้อยกว่า 12 เมตร
จากบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับดังกล่าวจะเห็นได้ว่าหากสภาพที่ดินที่เป็นชายหาดและอยู่ในเกณฑ์ที่มีลักษณะเป็นสาธารณสมบัติแล้ว บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะยึดถือครอบครองรวมถึงทำการก่อสร้างไม่ได้
โดยในส่วนรีสอร์ท ร้านอาหารหรือวิลล่าหรูที่อ้างว่ามีหาดส่วนตัวนั้นถ้าสภาพของชายหาดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ถือว่าเป็นการครอบครองหรือก่อสร้างที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพียงแต่ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่รัฐในการเข้มงวดกวดขันต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี