2. ประเด็นการรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา
ภายหลังเกิดเหตุพนักงานอัยการจังหวัดอุทัยธานียื่นคำร้องขอไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรค 3 โดยศาลจังหวัดอุทัยธานีวินิจฉัยว่าเหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือผู้ตายใช้ปืนเล็งมายังกลุ่มเจ้าพนักงานซึ่งถูกเจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธปืนยิงกระสุนถูกบริเวณศีรษะเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพก็ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรค 3 ถึงวรรค 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อใด และมีเหตุและพฤติการณ์ที่ตายอย่างไร ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำเท่าที่จะทราบได้เท่านั้น การชันสูตรพลิกศพมิใช่กระบวนการในการสอบสวนเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษคำสั่งของศาลจังหวัดอุทัยธานีดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาส่วนอาญาที่จะมีผลผูกพันคดีแพ่ง
3. การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นการกระทำละเมิดอย่างไร
ประเด็นนี้ศาลได้วินิจฉัยไว้ว่า ผู้ตายเคยทำงานที่เดียวกันกับกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนการที่เจ้าหน้าที่รัฐพบเห็นกลุ่มของผู้ตายอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยเฉพาะมีบุคคลในกลุ่มผู้ตายมีอาวุธปืนติดตัวกำลังเดินมาใกล้ริมตลิ่งกับจุดที่เจ้าหน้าที่รัฐจอดเรืออยู่เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่แล้วจะพากันหลบหนีพฤติการณ์จึงเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธปืนยิงเพื่อข่มขู่สกัดไม่ให้ผู้ตายกับพวกหลบหนีไม่ได้มีเจตนายิงผู้ตายแต่อย่างใด
แต่การที่เจ้าที่รัฐใช้อาวุธปืน HK 33 ซึ่งมีอาวุธภาพร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้ตายแล้วกระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณศีรษะ โดยขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนซึ่งทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง เจ้าหน้าที่รัฐย่อมต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในการใช้อาวุธปืน การที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตายในขณะนั้นเป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกศีรษะผู้ตายจนถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นการละเมิดต่อผู้ตาย
4. โจทก์ทั้ง 3 มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 2ให้ร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้ง 3หรือไม่
4.1 เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และกระทำละเมิดในขณะปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้ง 3 ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (มาตรา 5 )
ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากแม้ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาตรา 7 (2)จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ 1ก็ตามแต่จำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการในสังกัดจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมมาตรา 23 (9) จำเลยที่ 2 จึงเป็นหน่วยงานรัฐที่กำกับการดำเนินงานของจำเลยที่ 1ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1จึงถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ด้วยจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
4.2 โจทก์ที่ 2 ที่เป็นภรรยาผู้ตายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ที่ 2 เป็นภรรยาผู้ตายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสจึงเป็นภรรยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมิใช่ทายาทของผู้ตายโจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 443 วรรคหนึ่ง
4.3 โจทก์ทั้ง 3 มีสิทธิ์เรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากการถูกละเมิดสิทธิ์และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองกับค่าขาดแรงงานหรือไม่
โจทก์ที่ 1 มีสิทธิ์เรียกค่าสินไหมทดแทนอันเป็นค่าขาดไร้อุปการะกับโจทก์ที่ 1 และ 3 มีสิทธิ์เรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น สำหรับค่าสินไหมทดแทนจากการที่จำเลยทั้ง 2 ปฏิเสธการเยียวยาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยอ้างว่าโจทก์ทั้ง 3 ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อโจทก์ทั้ง 3 จำนวน 900,000 บาทนั้น เห็นว่าคดีนี้จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของตนที่ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นโจทก์ทั้ง 3 มีสิทธิ์เรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหาย ที่เกิดขึ้นโดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 5 ละเมิด
ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวในหมวด 2 ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดในกรณีทำให้ถึงตายนั้น ไม่ได้กำหนดเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากการถูกละเมิดสิทธิ์และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองโจทก์ทั้ง 3 จึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว
ในส่วนของค่าเสียหายนั้นศาลฎีกาได้โปรดพิจารณาให้ตามฐานานุรูปโดยพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นค่าขาดไร้อุปการะ 1,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 เป็นค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นอันจำเป็นอีก 30,000 บาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี