ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชนในขณะนั้นควบคู่กับคดีอุ้มหายบิลลี่ที่แก่งกระจาน คงไม่พ้นกรณีเจ้าหน้าที่รัฐวิสามัญชาวกะเหรี่ยง ที่เข้าไปหาเห็ด หาของป่าในพื้นที่อุทยานห้วยขาแข้งซึ่งผู้ตายเป็นชาวกะเหรี่ยง อาศัยอยู่ที่ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี วันเกิดเหตุ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งเป็นฤดูที่เห็ดโคนเริ่มออก และมีประชาชนทั้งชาวกะเหรี่ยงคนพื้นที่ใกล้เคียง เข้าไปหาเก็บเห็ดโคนตามวิถีชีวิตที่เคยปฏิบัติเรื่อยมาเนื่องจากเป็นเห็ดที่มีราคาสูง โดยในวันดังกล่าวผู้ตายกับเพื่อน เดินทางเข้าไปหาเห็ดโคน ในบริเวณระหว่างเขตรอยต่อเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจังหวัดอุทัยธานี และอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ประมาณเวลา 23.00 นาฬิกากลุ่มผู้ตายกับพวก เดินทางกลับออกจากบ้าน โดยผู้ตายเดินทางหน้ากลุ่มเพื่อนไปประมาณ 10 เมตร ไปทางเรือที่จอดไว้ที่ท่าเรือ โดยผู้ตาย ถือถังใส่เห็ดอยู่ประมาณครึ่งกิโลกรัม ส่วนเพื่อนซึ่งเดินตามมาทีหลังมีพกอาวุธปืนลูกซองไว้ แล้วพบเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ฯ 4 นาย ออกมาลาดตระเวน ได้มีเจ้าหน้าที่ยิงปืนไปสู้ตายกระสุนเข้าด้านหลังถูกศีรษะ เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนเพื่อนผู้ตายถูกจับพร้อมอาวุธปืนลูกซอง หลังเสียชีวิต ศพผู้ตายถูกนำออกมาที่โรงพยาบาลสถานพระบารมี อำเภอหนองปรือ จากนั้นถูกส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาลนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ในใบชันสูตร ระบุว่า เจ้าหน้าที่อ้างเหตุว่ายิงเพื่อป้องกันตัว
โดยในช่วงเวลาดังกล่าวญาติผู้ตายได้ร้องเรียนสื่อในขณะนั้นหลายช่องเนื่องจากไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรรมโดยในขณะนั้นสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม โดย อาจารย์สมชายอามีน ทนายธนู เอกโชติ สมชาย อามีน ธนู เอกโชติ ได้ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ญาติผู้ตาย และได้มอบหมายให้ผม (ทนายภูดิท โทณผลิน) ดำเนินคดีทั้งคดีอาญาคือการเข้าไต่สวนการตายที่ศาลจังหวัดอุทัยธานี และดำเนินการยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คดีนี้ใช้เวลาในกระบวนการยุติธรรม กว่า 7 ปีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาในที่สุดศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขที่ 5160/2566ซึ่งมีทั้งประเด็นข้อเท็จจริงและประเด็นข้อกฎหมายในเรื่องละเมิดที่น่าสนใจหลายประเด็นครับ
คดีนี้โจทก์ที่ 1 เป็นมารดาของผู้ตาย โจทก์ที่ 2 เป็นภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ส่วนโจทก์ที่ 3 เป็นบุตรของผู้ตาย
จำเลยที่ 1 เป็นหน่วยงานรัฐในสังกัดของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่รัฐผู้ก่อเหตุ
โจทก์ทั้ง 3 ยื่นฟ้องว่าโจทก์เป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน2559 เวลากลางคืน ผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยทั้งสองร่วมการใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยในศาลชั้นต้นโจทก์ทั้ง 3 ได้ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามขอ
จำเลยทั้งสองให้การและแก้คำให้การว่า
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้ง 3 และให้การต่อสู้ว่าค่าเสียหายสูงเกินไป
จำเลยที่ 2 ให้การว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มิใช่เป็นผู้บังคับบัญชา โจทก์ทั้ง 3 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้การต่อไปว่าให้การว่า เจ้าที่รัฐซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้ง 3 และให้การต่อสู้ว่าค่าเสียหายสูงเกินไป เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1
เกี่ยวกับการตายของผู้ตายพนักงานอัยการจังหวัดอุทัยธานีได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนผู้ตาย เป็นคดีหมายเลขช.2/2560 ของศาลจังหวัดอุทัยธานี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้ง 3 ยื่นอุทธรณ์และขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้ง 3 ยื่นฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมได้มีคำพิพากษาทั้งประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่สำคัญโดยสรุปดังนี้
1. การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ในสังกัดของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่ ประเด็นนี้ศาลเห็นว่า
1.1 สภาพศพของผู้ตายนอนคว่ำหน้าศีรษะชี้ไปทางป่า ส่วนขาชี้ลงลำน้ำ ประกอบกับลักษณะกระสุนปืนHK 33 ซึ่งเป็นปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงอาจผลักให้คนที่ถูกยิงล้มไปในทิศทางตรงข้ามกับวิถีกระสุนโดยไม่ต้องมีแหล่งอื่นมากระทำ โดยเมื่อพิจารณาจากบาดแผลกระสุนซึ่งมีรูเดียว จึงเชื่อว่าเป็นลักษณะกระสุนปืนถากจากซ้ายไปขวา ลักษณะบาดแผลจึง เชื่อว่าผู้ตายไม่ได้ยิงต่อสู้ขณะหันไปทางเจ้าหน้าที่
1.2 นอกจากนี้หากผู้ตายยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จริง อานุภาพของกระสุนปืนเมื่อถูกร่างของผู้ตาย แรงผลักของกระสุนปืน ย่อมทำให้ร่างของผู้ตายหงายหลังลงกับพื้นสภาพศพต้องนอนหงายไม่ใช่นอนคว่ำ และต้องมีบาดแผลทางเข้าของกระสุนปืนจากด้านหน้าไปด้านหลังแต่ปรากฏว่ากระสุนปืนถากหัวคิ้วด้านซ้ายของผู้ตายผ่านหน้าผากบ่งชี้ว่าเป็นการยิงในลักษณะที่ผู้ตายหันข้างให้เจ้าหน้าที่ ไม่ได้ยิงถูกในขณะที่ผู้ตายหันหน้าเล็งปืนไปทางเจ้าหน้าที่
1.3 ความสัมพันธ์ระหว่าง DNA ของผู้ตายกับปืนที่พบในที่เกิดเหตุผลการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวผลการตรวจพิสูจน์ไม่พบ DNA ของผู้ตายที่โกร่งไกปืนและนกปืนซึ่งเป็นส่วนที่ผู้ตายต้องสัมผัส หากใช้อาวุธปืนเล็งยิง การที่ผู้ตรวจพิสูจน์ ให้การว่าโกร่งไกปืนและนกปืนมีพื้นที่ผิวเล็กมีโอกาสทั้งตรวจพบและไม่พบDNA ก็ตาม การไม่พบ DNAในส่วนอื่นของกระบอกปืนจึงน่าเชื่อว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายไม่ได้ถืออาวุธปืนและใช้อาวุธปืนเล็งมาทางเจ้าหน้าที่
1.4 ระยะจากจุดพบศพไปยังจุดที่เรือเจ้าหน้าที่จอดอยู่เป็นระยะ 20 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่ไม่ใกล้ชิดมากและเป็นการยิงจากเรือที่จอดอยู่ในลำน้ำขึ้นไปบนตลิ่ง ในข้อเท็จจริงดังกล่าวผู้ตายซึ่งอยู่บนตลิ่ง ชายป่าย่อมสามารถที่จะวิ่งหลบหนีไม่ให้ถูกเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเรือจับกุมได้โดยง่ายกว่าการยิงต่อสู้ และยังสามารถหลบหนีได้ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตะโกนบอกให้หยุดและแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ทั้งยิงปืนขึ้นฟ้า
1.5 ผู้ตายเคยทำงานอยู่หน่วยพิทักษ์ป่าย่อมทราบดีว่าเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าที่ทำงานและลาดตระเวนจะต้องมีอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงติดตัวมา จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ตายจะใช้อาวุธปืนลูกซองยาวซึ่งมีกระสุนอยู่ในรังเพลิงเพียง 1 นัด เล็งยิงและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งใช้อาวุธปืนที่มีอนุภาพร้ายแรงกว่า
1.6 พยานซึ่งเป็นเจ้าที่รัฐซึ่งอยู่ในกลุ่มขณะเกิดเหตุ ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าเห็นผู้ตายใช้อาวุธปืนเล็งยิงมาทางเจ้าหน้าที่ แล้วยังเบิกความต่อว่าไม่ได้ยินเสียงพูดให้กลุ่มคนที่อยู่บนตลิ่งวางอาวุธปืนลง ซึ่งภายหลังได้เบิกความตอบคำถามติงของพนักงานอัยการซึ่งเป็นทนายความจำเลยว่าได้ยินเสียงตะโกนให้วางอาวุธปืน ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวนอกจากขัดกับพยานปากอื่นแล้ว แล้วยังขัดกันเองกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอยจึงไม่น่าเชื่อถือ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี