วันเสาร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
คุกอ่วม 468 ปี 'อดีตพระอาจารย์คม' ยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 300 ล้าน

คุกอ่วม 468 ปี 'อดีตพระอาจารย์คม' ยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 300 ล้าน

วันพุธ ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2567, 15.21 น.
Tag : อดีตพระอาจารย์คม ยักยอกเงินวัด วัดป่าธรรมคีรี
  •  

คุกอ่วมอดีตพระคม 468 ปีทุจริตฯยักยอกเงิน วัดป่าธรรมคีรี ร่วม300 ล้าน อดีตพระคู่หู 312 ปีตามกฎหมายจำคุกสูงสุด 50 ปี  ส่วนสมาชิกร่วมแก๊งโดนโทษลดหลั่นไป

วันที่  20 มีนาคม 2567 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ย่านตลิ่งชัน  ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1  เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายคมฯ หรืออดีต พระอาจารย์คม อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี กับพวกรวม9 คนเป็นจำเลย ฐานร่วมกันทุจริตเบียดบังทรัพย์ ฯ


โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดวัดป่าธรรมคีรีเป็นเจ้าพนักงานและเจ้าพนักงาน ของรัฐตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 2,4 เเละ6-9 เป็นพระลูกวัด จำเลยที่ 3,5 เป็นฆราวาส

ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเงินสดที่มีผู้บริจาค ให้แก่วัดผู้เสียหาย โดยนำเงินเก็บรักษาไว้ที่กุฏิจำเลย แล้วยินยอมให้จำเลยที่2,3 นำเงินเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อบัญชีจำเลยที่ 3 และบุคคลอื่นที่มีเงื่อนไขให้จำเลยที่ 3 เบิกถอนได้แต่เพียงผู้เดียวรวม 76 ครั้ง  นอกจากนี้ยังนำเงินส่งมอบเงินสดให้จำเลยที่ 3 เก็บไว้ในที่พักอาศัยของจำเลยที่ 3 ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้เป็นเงิน 51,918,170 บาทและระหว่างวันที่ 1-7 พฤษภาคม 66 จำเลยที่ 1 ได้เบียดบังเอาทรัพย์ของวัดป่าธรรมคีรีผู้เสียหายไป โดยตกลงกับจำเลยที่ 2,4,6,8 แล้วก่อนจำเลยที่ 1,2 จะเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครได้สั่งการให้จำเลยที่ 4,6,8ขนย้ายทรัพย์สินออกจากกุฏิของจำเลยไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด  จำเลยที่ 4,6,8จึงขนย้ายทรัพย์สินไปซุกซ่อนไว้เพื่อรอฟังคำสั่งจากจำเลยที่ 1,2แจ้งว่าจะให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกจากวัดเมื่อใด ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 66 จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งจำเลยที่ 9 ไปแจ้งแก่จำเลยที่ 4-8 ให้ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินบางส่วนใส่รถตู้ออกไปซุกซ่อนไว้ที่อื่น       โดยมีบางส่วนซุกช่อนอยู่ในวัดและอยู่ในกุฏิของจำเลยที่ 1 ซึ่งขนย้ายยังไม่หมด การกระทำของจำเลยที่ 2,4-9เป็นการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป และเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดรวมเงินสดและทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายจำนวน 1,454 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 299,505,992 บาท 

 โจทก์จึงขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86,91,147,157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา172 พวกจำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบชี้ช่องทางมีน้ำหนักมั่นคงให้ฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัดป่าธรรมคีรี และบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับฝากเงินที่วัดได้รับบริจาค นำมาเก็บรวบรวมไว้โดยมิได้จัดทำบัญชีตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แล้วนำเงินเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อจำเลยที่ 3 และบัญชีเงินฝากธนาคารบุคคลอื่นที่มีการขอให้เปิดบัญชีให้ไว้โดยให้จำเลยที่3 มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียวโดยไม่ปรากฏว่าวัดมีสิทธิเรียกร้องในเงินในบัญชีเงินฝากดังกล่าว รวม 76 ครั้ง และบางส่วนนำเก็บเป็นเงินสดไว้ในที่พักอาศัยจำเลยที่ แม้จำเลยที่ 1-3 ยกข้อต่อสู้ว่าเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 แต่ข้ออ้างดังกล่าวปราศจากพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งที่อยู่ในหน้าที่รู้เห็นของจำเลยที่ 1เเละ2แต่จำเลยที่ 1-3 มิอาจแจกแจงแสดงรายการบัญชีของเงินดังกล่าวได้ หากแม้มีเงินที่จำเลยที่ 2 ได้รับบริจาคส่วนตัว เงินดังกล่าวก็ย่อมปะปนกับเงินอันเป็นทรัพย์สินของวัดมิอาจแยกแยะได้ 

การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็น การจัดการทรัพย์สินของวัดโดยมิชอบ และมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย โดยมีจำเลยที่ 2,3 เป็นผู้สนับสนุน ส่วนเงินสดและทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานตำรวจพบและยึดไว้เป็นของกลางภายในวัด พยานหลักฐาน ที่โจทก์ชี้ช่องนำสืบมีน้ำหนักมั่นคงฟังยุติได้ว่าวันที่ 1 พฤษภาคม 66  อันเป็นวันก่อนที่จำเลยที่ 1 ลาสิกขา จำเลยที่ 4,8 ร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินของกลางดังกล่าวที่เก็บอยู่ในวัดถือว่าอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1เจ้าอาวาส ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้จัดทำรายการบัญชีแจกแจงทรัพย์สินไว้เช่นกัน แล้วนำออกไปซุกซ่อนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด ตามที่จำเลยที่ 1,2สั่งการ แล้วจำเลยที่ 4,8ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินดังกล่าวเปลี่ยนที่ซุกซ่อนเร้นครอบครองแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลายครั้งเพื่อหลบเลี่ยงให้พ้นไปมิให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดหรือเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบ 

ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 66 จำเลยที่ 2 สนทนาทางโทรศัพท์ใช้ให้จำเลยที่ 9แจ้งแก่จำเลยที่ 4,8ขนย้ายทรัพย์ออกไปนอกวัด จำเลยที่ 4-9จึงร่วมกันขนย้ายทรัพย์ใส่รถตู้ให้จำเลยที่ 5 ขับออกจากวัดไปจอดไว้ที่บ้านพักของจำเลยที่ 5อันมีวัตถุประสงค์ต่อเนื่องกับการขนย้ายทรัพย์ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกรรมเดียว 

ทั้งนี้แม้จำเลยที่ 4-9ไม่ทราบถึงพฤติกรรมทางเพศของจำเลยที่ 1,2ที่ถูกกล่าวอ้างในรายงานและสำนวนการสอบสวน ประกอบกับด้วยสถานภาพของจำเลยที่ 2ที่แสดงออกต่อสาธารณะ ซึ่งแม้วิญญูชนทั่วไปหากแต่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดและอยู่เป็นช่วงระยะเวลาที่เพียงพอให้ได้มีโอกาสรับรู้หรือสังเกตเห็นการกระทำอันเป็นเครื่องชี้เจตนาในใจ ก็ย่อมไม่อาจทราบถึงพฤติการณ์หรือเจตนาในใจที่จำเลยที่1,2ปกปิดไม่แสดงออกได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินภายในวัดได้มาจากการบริจาค ของประชาชน โดยไม่มีการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สินแจกแจงให้ปรากฏชัดแจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1,2 

อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใดอันจะพอให้เข้าใจได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวล้วนมิใช่เป็นทรัพย์สินของวัดอย่างแน่แท้ จึงไม่พอให้ฟังได้ว่าจำเลยที่4-9ไม่รู้หรือสำคัญผิดในข้อเท็จจริงดังกล่าว ขณะจำเลยที่ 4,8ร่วมขนย้าย ก็ทราบได้ว่าจำเลยที่1,2สั่งการให้เคลื่อนย้ายทรัพย์สิน

จากที่เก็บเดิมอันมีลักษณะเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์ ทั้งต่อมาจำเลยที่ 4-9 ต่างก็ทราบว่าจำเลยที่ 1,2ถูกเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดี มีการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด แต่จำเลยที่ 4-9ก็เลือกกระทำการช่วยเหลือจำเลยที่1,2ชุกช่อนยักย้ายทรัพย์ดังกล่าว แม้อ้างว่าด้วยเหตุที่เคารพศรัทธาจำเลยที่ 2 ภายหลังบอกที่ซุกซ่อน ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานตำรวจและแจ้งให้จำเลยที่ 5 ขับรถนำทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนโดยไม่ปรากฏทรัพย์ขาดหายไปก็ตาม พยานหลักฐานที่จำเลยยกขึ้นอ้างก็ไม่มีน้ำหนักหักล้างแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเป็นอย่างอื่น การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4,8จึงเป็นการร่วมกันเบียดบังทรัพย์ของวัดโดยทุจริต คดีฟังยุติได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของ ผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ ให้กระทำความผิดและเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด จำเลยที่ 3เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด จำเลยที่ 4,8 ร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เมื่อจำเลยที่ 2,3,4,8ไม่ได้เป็น เจ้าพนักงาน ขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ จึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือ หน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต 

ส่วนจำเลยที่ 5,6,7,9เข้าร่วมกระทำการดังกล่าวภายหลังจากจำเลยที่ 1 ลาสิกขา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 66 สิ้นสถานะเจ้าพนักงานแล้ว  จึงมีความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคท้าย ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559มาตรา 6 วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ใช้นั้นย่อมเกลื่อนกลืนกับการกระทำของตนที่ได้เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดข้างต้นแล้ว และเมื่อการกระทำของจำเลยที่1,2,3,4 เเละ8 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147ซึ่งเป็นบทเฉพาะของบททั่วไปตามมาตรา 157แล้ว ย่อมไม่จำต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 172 ประกอบประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 83 

สำหรับจำเลยที่ 2 ,3,4,8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ส่วนจำเลยที่ 5,6,7,9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่1,2,3เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสียและเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท 

จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือ เป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย 

ลงโทษจำเลยที่ 2,3ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6ปี รวม 78กระทง รวมจำคุก 468ปี  จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวม 78กระทง รวมจำคุก 312 ปี  จำคุกจำเลยที่ 3กระทงละ 4 ปี รวม 77กระทงรวมจำคุก 308ปี  จำคุกจำเลยที่ 4,8 คนละ 3ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่5,6,7 ,9 คนละ 3 ปี การเสนอแนวทางชี้ช่องพยานหลักฐานและนำสืบของจำเลยที่ 5-9 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 4,8คนละ 2ปี 2เดือน 20วัน และคงจำคุกจำเลยที่ 5,6,7,9คนละ 2 ปี 

สำหรับจำเลยที่ 1,2 และจำเลยที่ 3 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกคนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 4-9ให้ยกฟ้อง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ไร้ปาฏิหาริย์! 'น้องน้ำตาล'เสียชีวิตที่แม่น้ำเจ้าพระยา ญาติเชื่อถูกลวงฆาตกรรม

เที่ยวบินหลายลำลงจอดฉุกเฉิน'อู่ตะเภา' หลัง'สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง'เจอฝนถล่มหนัก

'ในหลวง-พระราชินี' พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าฯ

กมธ.พัฒนาสังคมฯจัดสัมมนา‘สลาก กอช.’ หนุน‘หวยเกษียณ’สร้างหลักประกันวัยชรา

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved