วันพุธ ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สส.ปชน.จี้รัฐตรวจสอบเหมืองแรร์เอิร์ธต้นแม่น้ำสาละวิน-เชื่อเป็นเหตุสารพิษปนเปื้อน ด้าน "รมว.ทส.-ผวจ.แม่ฮ่องสอน" สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ-ปลาสาละวินด่วน
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.พรรคประชาชน เปิดเผยถึงกรณีที่มีการตรวจพบสารโลหะหนักในแม่น้ำสาละวินเกินค่ามาตรฐาน ว่าปรากฏการณ์แม่น้ำสาละวินปนเปื้อนสารหนู แสดงว่าต้องมีการทำเหมืองแร่ร์เอิร์ธที่บริเวณต้นน้ำจำนวนมากและทำต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน เพราะแม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่มาก การที่มีสารพิษปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานมากเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องมีการชะล้างหรือทิ้งสารเคมีลงแม่น้ำโดยไม่มีการบำบัดเป็นปริมาณมหาศาลอย่างแน่นอน
“แม่น้ำสาละวินปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นนนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางน้ำตลอดสายน้ำ และส่งผลกระทบต่อคนตลอดลุ่มน้ำตั้งแต่ในรัฐฉาน รัฐคาเรนนี ผ่านประเทศไทยเป็นระยะทาง 120 กม. เข้ารัฐกะเหรี่ยงต่อเนื่องจนถึงปากแม่น้ำสาละวินซึ่งมีคนจำนวนหลายล้านคน ที่สำคัญคือจะกระทบต่อปลาในแม่น้ำสาละวิน และปลาในแม่น้ำลำห้วยที่เป็นสาขาของแม่น้ำสาละวินด้วย ที่ถือเป็นอาหารของคนทั้งลุ่มน้ำสาละวิน ซึ่งมีชาวบ้านส่วนหนึ่งก็มีอาชีพหาปลา แต่ขณะนี้ทางการของไทยก็ประกาศห้ามไม่ให้คนกินปลาจากแม้น้ำสาละวินแล้ว”สส.ปชน.ผู้นี้กล่าว
นายเลาฟั้ง กล่าวว่า นอกจากนี้ก็ยังจะกระทบต่อชาวบ้านที่ทำเกษตรริมฝั่งแม่น้ำสาละวินช่วงฤดูน้ำลด ซึ่งหลังจากนี้จะเข้าสู่ฤดูแล้งที่ชาวบ้านเริ่มปลูกผักริมฝั่งแล้ว ปัญหานี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวข้องกับทั้งประเทศไทย พม่าและจีน การแก้ไขปัญหาต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งรัฐบาลพม่าและจีน ที่ผ่านมาประเทศไทยก็ไม่สามารถเจรจากับทั้งพม่าและจีนได้ สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือข้อมูล แต่ที่ผ่านมาแทบไม่มีการเปิดเผยข้อมูลจากทางการเลย เช่น ในลุ่มแม่น้ำสาละวินมีการทำเหมืองกันกี่เหมือง ในลุ่มแน่น้ำโขงมีกี่เหมือง แต่ละเหมืองใช้ดวิธีการทำแบบไหน ใครเป็นเจ้าของเหมืองและเป็นคนชาติใด เป็นต้น
สส.ปชน.กล่าวว่า ในทางตรงกันข้ามทางการของไทยกลับพยายามบิดเบือนและปกปิดข้อมูล ทำให้ไม่สามารถระบุข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนได้ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีการตรวจสอบว่ามีเหมืองทั้งหมดจำนวนกี่เหมือง ใครเป็นเจ้าของหรือผู้ได้รับสัมปทาน และทำเหมืองด้วยกรรมวิธีแบบใด เพื่อที่ได้ติดตามผู้ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากปัญหาแม่น้ำสาละวินปนเปือนเกี่ยวข้องกับทั้งคนของประเทศไทย พม่าและจีน การแก้ปัญหาต้องได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศนี้ โดยแนวทางแก้ไขปัญหาและป้องกันผลกระทบคือ การสร้างข้อตกลงร่วมกันในการป้องกันผลกระทบทั้งด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ รวมทั้งความร่วมมือในการแก้ไขเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่เคยได้ยินว่ามีการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันของทั้งสามประเทศแต่อย่างใด
ด้านนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) กล่าวว่า จากที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ติดตามสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำสาละวิน หลังจากที่มีการเผยผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำพบการปนเปื้อนของสารหนูสูงเกินค่ามาตรฐานถึง 5 เท่านั้น เบื้องต้นพบว่า มีชุมชนที่อยู่ติดแม่น้ำสาละวินและมีการใช้น้ำในแม่น้ำ จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนในพื้นที่ อบต.แม่สามแลบ อำเภอสบเมย จำนวน 3 ชุมชน คือ บ้านแม่สามแลบ บ้านสบเมย (หย่อมบ้านพะละอี) และบ้านปูทา และชุมชนในพื้นที่ ทต.แม่ยวม อำเภอแม่สะเรียง จำนวน 1 ชุมชน คือ บ้านท่าตาฝั่ง (ติดชายแดน) หมู่ 7 โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้น้ำเพื่อการประมง เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และคมนาคมขนส่ง ไม่มีการใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยตรง ยกเว้นในกรณีที่น้ำอุปโภคบริโภคจากประปาภูเขาไม่เพียงพอ และเฉพาะครัวเรือนที่อยู่บนเรือนแพเท่านั้นที่มีการใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อการอุปโภค“
นายสุชาติ กล่าวว่าได้สั่งการให้กรมควบคุมมลพิษ พร้อมด้วย กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และ ทสจ.แม่ฮ่องสอน เร่งส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ในช่วงวันที่ 5-6 พฤศจิกายน นี้ เพื่อร่วมกันสำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการใช้น้ำในแม่น้ำสาละวินโดยละเอียด พร้อมกำหนดจุดตรวจสอบคุณภาพน้ำด้วยชุดทดสอบสารหนูเพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจนในการแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับทราบข้อมูลอย่างเป็นทางการโดยตรงอีกครั้ง รวมถึงให้เจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความรู้และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในเบื้องต้นในการปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพอนามัย เนื่องจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ยังคงมีความสับสนในข้อมูลข้อเท็จจริงและมีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมยังได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำทุกจุดในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ นอกเหนือจากการตรวจสอบการปนเปื้อนในแม่น้ำสาละวิน ยังรวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่มีอยู่ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้น้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ หากจุดใดตรวจพบปัญหาการปนเปื้อนให้ดำเนินการแก้ไขโดยทันที รวมถึงสำรวจแหล่งน้ำอื่นทั้งแหล่งน้ำผิวดิน และแหล่งน้ำบาดาล ที่มีศักยภาพเพื่อเป็นแหล่งน้ำใช้ทดแทนให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งให้ขยายผลสำรวจถึงกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลไปสู่การตรวจสอบพืช สัตว์น้ำ และสุขภาพของประชาชนต่อไป เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จึงเป็นเรื่องที่รอช้าไม่ได้ และต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนโดยทันที” นายสุชาติ กล่าว
ขณะที่เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดแม่ฮ่องสอนรายงานว่า นางสาวชุติพร เสชัง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้สั่งการให้นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบหมายให้ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดแม่ฮ่องสอนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย
อำเภอสบเมย องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แม่สามแลบ กรมควบคุมมลพิษคือสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมทรัพยากรน้ำ ได้แก่ ( สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 ,กองวิจัยพัฒนาและอุทกวิทยา, ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ,ส่วนพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งน้ำ,ส่วนจัดสรรน้ำ, ส่วนอุทกวิทยา) กรมประมง
(ประมงจังหวัดแม่ฮ่องสอน) และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตัวอย่างปลาแม่น้ำสาละวิน ตงแม่สามแลบ อ.สบเมยโดยดำเนินการในวันนี้ เวลา 10.00 น.เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนักวิชาการนำเสนอข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำสาละวิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี