ชาวบ้านริมน้ำสาละวิน มึนข้อมูลราชการสุดสับสน ไม่แน่ใจปลา-พืชริมน้ำกินได้หรือไม่

ชาวบ้านริมน้ำสาละวิน มึนข้อมูลราชการสุดสับสน ไม่แน่ใจปลา-พืชริมน้ำกินได้หรือไม่

วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 15.20 น.

ชาวบ้านริมน้ำสาละวินมึนข้อมูลราชการสุดสับสน-ไม่แน่ใจปลา-พืชริมน้ำกินได้หรือไม่-ชาวกะเหรี่ยงสองฝั่งร่วมกันจัดกิจกรรมคืนชีวิตให้แม่น้ำ-นักวิชาการแนะจังหวัดเร่งตั้งวงหารือผู้เชี่ยวชาญน้ำปนเปื้อน-วางแผนแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 ณ ริมแม่น้ำสาละวิน หมู่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน มูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ อุทยานแห่งชาติสาละวิน กองร้อยทหารพรานที่ 3604 เครือข่ายเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมจังหวัดแม่ฮ่องสอน โรงเรียนบ้านแม่สามแลบ โรงเรียนห้วยกองก๊าด โรงเรียนซิวาเดอ อุทยานแห่งชาติสาละวิน เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน และสมาคมกะเหรี่ยงไทย รวมกันจัดงาน “คืนชีวิตให้แม่น้ำสาละวิน ประจำปี 2568” โดยมีผู้นำหน่วยงาน กำนันผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่อุทยาน ชาวบ้านทั้งฝั่งไทยและฝั่งรัฐกะเหรี่ยง นักเรียนและครู กว่า 200 คนร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีวิทยากรมาให้ความรู้ถึงกรณีที่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำสาละวิน


นายไวยิ่ง ทองบือ ประธานมูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ กล่าวเปิดงานว่าในทุกปีประชาชนชาติพันธุ์จะรวมตัวกันเพื่อแสดงออกในความหวงแหนและดูแลสืบทอดรักษาทรัพยากรธรรมชาติในลุ่มน้ำสาละวิน ซึ่งครั้งนี้เป็นปีที่ 4 อย่างไรก็ตามในปีนี้มีปัญหาเรื่องแม่น้ำสาละวินปนเปื้อน แต่ชาวบ้านก็ยังต้องช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะหรือพลาสติกลงแม่น้ำ

นส.เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ Rivers and Rights และมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) กล่าวว่าแม่น้ำสาละวิน มีต้นกำเนิดจากหิมะละลายใสสะอาดที่เทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านป่าในรัฐฉาน รัฐคะเรนนี และไหลเป็นพรมแดนไทยพม่า เป็นแหล่งผลิตน้ำสะอาดที่สำคัญให้แก่มหาสมุทร แต่ขณะนี้กำลังปนเปื้อนโลหะหนักที่เป็นพิษ ตรวจพบสารหนูและปรอท ซึ่งภาพถ่ายดาวเทียมชี้ให้เห็นว่ามีการทำเหมืองแร่ในลุ่มน้ำสาละวินมากถึง 150 แห่ง รวมทั้งเหมืองแร่แรร์เอิร์ท ในรัฐฉาน ในเขตอิทธิพลของกองกำลังว้า UWSA ที่ต้นน้ำซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน

“ปัญหาการปนเปื้อนแม่น้ำสาละวิน ประชาชนต้องรับทราบเพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบแหล่งกำเนิดมลพิษ คือเหมืองที่ไร้การควบคุม ว่าคือเหมืองแร่อะไร ใครเป็นเจ้าของ ปล่อยสารพิษอะไรลงสู่ต้นน้ำลำธาร เพราะหากปล่อยนานไปเหมืองเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก ความหายนะจะทวีความรุนแรงมากกว่านี้” นักอนุรักษ์กล่าว     

น.ส.อภิญญา กาดขุนทด ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน CHIA Platform กล่าวว่าสิ่งที่กังวลคือน้ำกินและน้ำใช้ รวมทั้งอาหาร สารหนูเป็นสารก่อมะเร็ง เป็นสารที่สะสมในห่วงโซ่อาหารและเข้าสู่ร่างกาย อาจใช้เวลา 5-10 ปีกว่าจะแสดงอาการเจ็บป่วย ผู้ที่ร่างกายแข็งแรงก็สามารถขับออกจากร่างกายได้ แต่คนที่อ่อนแอก็จะเกิดการสะสม ทำให้เจ็บป่วย คำแนะนำคือการลดการใช้น้ำที่ปนเปื้อน หลีกเลี่ยงไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำสาละวินโดยตรง แต่ใช้น้ำจากแหล่งสะอาด เช่น ลำห้วยสาขา ประปาภูเขา ส่วนพืชผักที่ปลูกริมแม่น้ำสามารถกินได้แต่ควรไม่กินทุกวัน สำหรับปลาในแม่น้ำสาละวิน ปลาตัวใหญ่ที่เป็นปลานักล่าจะมีการสะสมสารพิษมากกว่า ควรกินปลาตัวเล็กหรือปลากินพืชจะสะสมสารพิษน้อยกว่า พุงปลาเป็นที่สะสมสารพิษไม่ควรกิน สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

“สารหนูไม่ได้อยู่แค่ในตะกอน แต่ละลายในน้ำ การใช้สารส้มแค่ทำให้ตกตะกอน การต้มน้ำก็ช่วยไม่ได้ แต่ยังมีส่วนที่ละลายในน้ำ” นักวิจัยกล่าว

นายสุภาพ นุชนงคราญ ผู้ใหญ่บ้านแม่สามแลบ ให้สัมภาษณ์ว่า ภายหลังจากที่ทางการประกาศว่าน้ำสาละวินปนเปื้อนสารหนู ตนได้แจ้งเตือนในเสียงตามสายไปยังลูกบ้าน แต่ชาวบ้านไม่แน่ใจว่าพืชผักและปลาสาละวินกินได้หรือไม่ เพราะทางการบอกว่าสารโลหะหนักในผักและปลายังไม่เกินมาตรฐาน แต่ไม่ควรกินบ่อยๆ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกสับสนเพราะชุมชนใช้ชีวิตอยู่กับแม่น้ำสาละวิน

“แม้มีประกาศว่ากินปลาได้ แต่ประชาชนยังไม่กล้ากิน หาปลาได้ก็ไม่มีใครรับซื้อ ทำให้รายได้จากการหาปลาและขายปลาหายไป เช่นเดียวกับคนที่ปลูกพืชผักริมแม่น้ำตอนนี้ก็ไม่กล้าปลูก ชาวบ้านอยากรู้ว่าถ้าปลูกแล้วยังเอามากินได้หรือไม่ จริงๆแล้วตั้งแต่เดือนก่อน(พฤศจิกายน)เป็นช่วงที่ชาวบ้านเริ่มทำเกษตรริมแม่น้ำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปลูกถั่วต่างๆ ฟักทอง ใบยาสูบ แต่ตอนนี้ทุกคนยังลังเลกันอยู่” นายสุภาพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าความต้องการของชาวบ้านที่อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลคืออะไร นายสุภาพกล่าวว่าชาวบ้านแม่สามแลบปกติใช้น้ำจากลำห้วย แต่ไม่พอในฤดูแล้ง จึงอยากให้ดึงน้ำจากลำห้วยแม่ปอ ซึ่งมีน้ำตลอดทั้งปีนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้

นายสะท้าน ชีววิชัยพงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน กล่าวว่าแม่น้ำสาละวินปนเปื้อน ทำให้ชาวบ้านต่างกังวล ตระหนก แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ยังไม่รู้เรื่องเพราะมีปัญหาด้านการสื่อสาร แต่ที่กังวลมากคือเรื่องปลาในแม่น้ำสาละวินและเกษตรริมแม่น้ำ เพราะไม่รู้ว่ามีสารตกค้างหรือไม่

“ที่บ้านสบเมยซึ่งเป็นแหล่งจับปลาในแม่น้ำสาละวิน ชาวบ้านเคยมีรายได้จากปลาเดือนละเป็นหมื่น แต่วันนี้ปลาหามาได้ก็ไม่มีใครซื้อเมื่อมีข่าวว่าน้ำสาละวินปนเปื้อนสารโลหะหนัก แม้แต่ในลำน้ำอื่นๆที่ไหลลงแม่น้ำสาละวิน ชาวบ้านก็กังวลเรื่องการจับปลาไปกิน เพราะเป็นปลาที่ว่ายอพยพมาจากแม่น้ำสาละวิน เขาไม่รู้ว่าปลาเหล่านั้นมีสารโลหะหนักหรือไม่ ทางการควรเร่งเข้ามาตรวจสอบ”นายสะท้าน กล่าว

นายสะท้านกล่าวว่า ที่ผ่านมาทางการตรวจสัตว์น้ำในแม่น้ำสาละวินเพียงปลา ชาวบ้านอยากรู้ว่าแล้วในกุ้งและหอยมีสารโลหะหนักหรือไม่ สามารถบริโภคได้หรือไม่ ขณะที่ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน และนายอำเภอแม่สะเรียงบอกว่ากินปลาได้ แต่ชาวบ้านยังไม่แน่ใจเพราะเรื่องสารพิษเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนซึ่งจะสะสมอยูในร่างกาย ดังนั้นรัฐควรสร้างความชัดเจน” ภาคประชาชนกล่าว

รศ.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ คณบดีคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าปลาในแม่น้ำสาละวินปนเปื้อนสารโลหะหนักแค่ไหนและบริโภคได้หรือไม่ ดังนั้นในช่วงนี้จึงควรงดบริโภคก่อนเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตามใน 2-3 เดือนนี้จะพยายามหาข้อสรุปที่ชัดเจน

รศ.อภินันท์กล่าวว่า จากบทเรียนสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก สาย รวกและโขงใน จ.เชียงราย เป็นสิ่งสำคัญที่หน่วยงานราชการนำมาใช้ในการตัดสินใจเพราะหากปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนื่องจากคิดว่าไม่ส่งผลกระทบกับชาวบ้านจะทำให้ไม่เข้าไปแก้ปัญหา เมื่อเกิดสถานการณ์ในลักษณะเดียวกันที่แม่น้ำสาละวิน รัฐบาลควรเร่งดำเนินการได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาหารือและวางแผนกันอย่างเป็นระบบ และข้อมูลเหล่านี้ก็สามารถนำไปยืนยันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top