ทีมนักวิจัย-นักอนุรักษ์ลงพื้นที่สาละวิน คลายข้อข้องใจของชุมชนปลากุ้งปนเปื้อน

ทีมนักวิจัย-นักอนุรักษ์ลงพื้นที่สาละวิน คลายข้อข้องใจของชุมชนปลากุ้งปนเปื้อน

วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.46 น.

ทีมนักวิจัย-สื่อ-นักอนุรักษ์ ลงพื้นที่สาละวิน คลายข้อข้องใจของชุมชน เผยปลากุ้งปนเปื้อน แนะการกิน ชาวบ้านอยากรู้ที่มาของสารพิษ นักวิชาการแนะรัฐเร่งให้ข้อมูล

ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม 2568 สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน ได้จัดกิจกรรมลงพื้นที่แม่น้ำสาละวิน พรมแดนไทย-พม่า อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกรณีแม่น้ำสาละวินปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเริ่มต้นด้วยการนำเสนอสถานการณ์ให้ชาวบ้าน 2 ฝั่งแม่น้ำทั้งฝั่งไทยและฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ณ ห้องประชุมสาละวิน องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แม่สามแลบ โดยมีนักวิชาการจากจากศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) คณะนักวิจัยจากสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ทีมนักสิ่งแวดล้อมจาก Rivers and Rights ผู้แทนมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) จ.เชียงราย ซึ่งมีคณะสื่อมวลชนหลายสำนักเข้าร่วมสังเกตการณ์


ผศ.ดร.ว่าน วิริยา นักวิชาการจากศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มช.กล่าวว่า เรื่องเหมืองแร่มีอิทธิพลส่งผลกระทบต่อแม่น้ำหลายสาย โดยแม่น้ำสาละวินทางศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมฯได้ตรวจแล้ว 4 รอบ รวมทั้งตรวจปลาและกุ้งด้วย โดยสาเหตุที่สารปนเปื้อนเพราะมีการทำเหมืองแร่ที่ใช้กรด หยอดในรูที่เจาะบนภูเขาและปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งต้นน้ำลำธาร โดยพบว่ามีเหมืองแร่ที่ไม่มีการควบคุมกว่า 2 พันแห่งบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสำคัญ ทั้งแม่น้ำโขงและสาละวิน

ผศ.ดร.ว่าน กล่าวว่า ครั้งแรก มช.ได้ตรวจน้ำสาละวิน สูงจากค่ามาตรฐานถึง 5 เท่า ทำให้ราชการตื่นและมาตรวจโดยครั้งแรกใช้เครื่องมือภาคสนามตรวจพบว่าไม่เกินมาตรฐาน ต่อมาทางกรมควบคุมมลพิษ(คพ.)ได้มาเก็บตัวอย่างน้ำและได้อนุเคราะห์ส่งตัวอย่างน้ำให้ทีมวิจัย มช.ด้วย ซึ่งพบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐาน 2-3 เท่า และผลการตรวจทางศูนย์วิจัยฯ ยังพบว่ามีสารปรอทเกินค่ามาตรฐานด้วย ขณะที่ผลการตรวจของ คพ.ไม่พบสารปรอท

ผศ.ดร.ว่านกล่าวว่า รายงานผลกระทบด้านสุขภาพโดยตรวจจากปัสสาวะในคนพบว่าค่าสารหนูในร่างกายปริ่มๆ เกือบถึงค่ามาตรฐานแล้วซึ่งเป็นคนที่ใช้น้ำสาละวินโดยตรงและกินปลา ต้องรีบแก้ไข การตรวจกุ้งแม่น้ำสาละวินพบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน พบแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว และแนะนำว่าห้ามกินหัวกุ้งเพราะสารโลหะหนักกว่า 90% สะสมอยู่ที่หัว ส่วนปลาเนื้ออ่อน แม้ไม่เกินค่ามาตรฐานแต่พบสารโลหะหนักหลายชนิด ทั้งสารหนูและตะกั่ว อยู่ในส่วนหัวและพุง พบปรอทในเครื่องใน ปลาแข้ ตรวจพบปรอทที่ตับ พบสารหนูที่พุง การกินปลาจึงควรตัดหัวออก งดพุง เครื่องใน

“ห้ามดื่มน้ำจากสาละวินโดยตรง แม้จะต้มก็ไม่ได้ช่วย ต้องกรอง สามารถสัมผัสแม่น้ำได้แต่ห้ามมีแผล ถ้าน้ำขุ่นสารโลหะหนักจะเยอะ อย่าลงน้ำ” ผศ.ดร.ว่าน กล่าว

ชาวบ้านแม่สามแลบตั้งคำถามว่า 2 ปีนี้สาละวินขุ่นทั้งปีและผลผลิตเกษตรริมน้ำไม่ดีเหมือนก่อน อยากรู้ว่าพืชที่ปลูกกินได้หรือไม่ และสังเกตว่าปลาบางตัวหางงอและครีบหาย

สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน กล่าวว่าการสะสมของโลหะหนักโดยสารหนูปนอยู่ทั้งในตะกอนและในน้ำ ที่น่ากังวลคือความเป็นพิษมีแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง พิษเฉียบพลันมีความเข้มข้นสูง ทำให้ปลาตายหรือป่วย สัตว์เล็กๆมีความทนต่อพิษต่ำกว่า ดังนั้นปลาที่ตายผิดปกติหรือตัวปลามีความผิดปกติมีข้อสันนิฐานว่าเกิดจากสารพิษหรือน้ำที่มีความเข้มข้นสูง แต่จะให้ชัดต้องเอามาตรวจในห้องแล็บ

สมพรกล่าวว่า สารที่ตรวจพบ คือสารหนู และปรอท โดยสารหนูส่วนใหญ่อยู่ในตะกอน บางส่วนละลายน้ำได้ ถ้าสังเกตว่าเมื่อไหร่น้ำขุ่น ให้สันนิฐานว่ามีสารหนูอยู่ในน้ำ สัตว์น้ำต่างๆ ให้เว้นไปก่อน หากเรารับสารหนูเข้าไปในร่างกาย การป่วยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและสภาพร่างกายโดยร่างกายจะขับสารหนูออกได้หากกินแล้วเว้น แต่หากกินบ่อยอาจเป็นพิษเรื้อรัง สารหนูก่อมะเร็ง อาจทำให้ชะล่าใจเพราะไม่ได้ป่วยทันที แต่อีก 3 ปีข้างหน้าเมื่ออาการเริ่มแสดงก็แก้ไม่ทันแล้ว

นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ อดีตนายกอบต.แม่สามแลบ กล่าวว่าตั้งแต่มีข่าวแม่น้ำสาะวินปนเปื้อน ชาวบ้านกังวลใจเพราะคำตอบคลุมเครือจากทางจังหวัด  แต่วันนี้มีความชัดเจนขึ้นหลังจากได้รับฟังจากทีมวิจัยที่มาให้ข้อมูล ชาวบ้านลดความกังวล ตอนนี้ชาวบ้านไม่ออกไปหาปลาเพราะไม่กล้ากินและขายก็ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพเท่านั้น แต่กระทบกับอาชีพและรายได้ด้วย

“ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร แม้จังหวัดแถลงแล้ว แต่เป็นข้อมูลที่ไม่ชัด ตอนนี้เราทราบข้อมูลและข้อแนะนำ จะกระจายให้ประชาชนทราบลดความกังวล เราไม่รู้ว่าตอนนี้ในร่างกายเรามีสารอยู่หรือไม่ ทางสาธารณสุขสุ่มตรวจ แต่ก็ไม่ได้ตรวจทุกคน” นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าวว่า

ชาวบ้านจากอิตุท่า รัฐกะเหรี่ยง (ฝั่งพม่า) กล่าวว่าสิ่งที่ชาวบ้านกำลังเผชิญอยู่เกิดจากปัญหาที่คนใหญ่คนโตในบ้านเมืองสร้างขึ้นมา ทุนใหญ่ต้องการกอบโกยผลประโยชน์ ทุกคนต้องการเงิน ชาวบ้านหากินค้าขายเล็กๆ แต่ทุนใหญ่กลับมาทำร้ายพื้นที่ ทำให้แผ่นดินเสียหาย ขอบคุณทุกฝ่ายที่มาช่วย ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขจากผู้มีอำนาจ หากไม่แก้ไขก็เท่ากับว่าทำร้ายประชาชน เราไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบหรือสารพิษหรือไม่ สิ่งที่เราทำได้จะเอาความรู้ความเข้าใจไปบอกต่อกับชาวบ้านและชุมชน

หลังจากนั้นคณะได้ล่องเรือในแม่น้ำสาละวินไปยังบ้านสบเมย โดยระหว่างทางกลุ่มนักวิจัยได้เก็บตัวอย่างพืชคือผักกาดเขียวในสวนเกษตรริมแม่น้ำ ต้นไคร้น้ำ ตะกอนดิน ดิน น้ำ เพื่อนำไปตรวจ ทั้งนี้ชาวบ้านที่ล่องเรือสาละวินเป็นประจำได้ตั้งข้อสังเกตุว่าแม้ช่วงนี้เป็นฤดูเพาะปลูกริมน้ำ แต่พบว่ามีแปลงเกษตรริมฝั่งน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากมีข่าวพบการปนเปื้อนในแม่น้ำ 

ผศ.ดร.ว่าน ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงพื้นที่ว่าสิ่งที่สำคัญตอนนี้ คือการให้ความรู้แก่ประชาชน แม้ทางการจะมาตรวจ แต่ชาวบ้านไม่ได้เข้าใจเลย รู้ว่าแม่น้ำ ปลา ฯลฯ เป็นพิษและไม่รู้จะปฎิบัติตัวอย่างไร ถ้าเทียบกับลุ่มน้ำกก โขง ในช่วงเวลาเดียวกันค่าสารโลหะหนักลดลง แต่สาละวินกลับพบเกินค่าในทุกครั้ง และพบในทุกจุด แสดงว่าแหล่งกำเนิดสารโลหะหนักปล่อยมลพิษมาโดยตลอด 

เช้าวันที่ 23 ธันวาคม ณ ริมแม่น้ำสาละวิน ได้มีการประชุมกับชาวบ้านสบเมย โดยผศ.ดร.ว่าน นายนิวัฒน์ นส.เพียรพร ดีเทศน์ นายสะท้าน ชีววิชัยพงษ์ ได้ร่วมนำเสนอข้อมูลและข้อแนะนำให้แก่ชาวบ้าน 

นายนิวัฒน์ กล่าวว่าตอนนี้แม่น้ำโขงปนเปื้อนเหมือนกับสาละวิน เหมืองแร่อยู่นอกประเทศ เป็นประเด็นข้ามพรมแดนแก้ได้ยาก ดังนั้นเราต้องร่วมมือกันระหว่างคนลุ่มน้ำโขงและสาละวินเพื่อสู้เรื่องสารพิษเพราะมีอันตรายกับทุกคน การสู้ลำพังเฉพาะคนแม่น้ำโขงอาจไม่พอ จึงต้องรวมพลังกันสู้ทั้งสองลุ่มน้ำ 

ชาวบ้านสบเมยตั้งคำถามว่าเรื่องพืชที่ปลูกริมสาละวิน และหอยสาละวิน ที่ชาวบ้านงมเก็บตามแก่งหินริมน้ำ ช่วงมีนาคมและเมษายน ทำแกงหอย เอาใส่ข้าวเบอะ เป็นอาหารที่นิยมกันมาก จะกินได้หรือไม่ ผศ.ดร.ว่านตอบว่าหอยมีการสะสมของสารพิษมากที่สุด จะดำเนินการตรวจและให้คำแนะนำต่อไป สมพร ตอบว่า คำแนะนำเบื้องต้น คนที่เปราะบางที่สุดคือหญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก ให้งดอาหารจากแม่น้ำสาละวินก่อน ให้กินอาหารจากบนดอยหรือลำห้วย โดยเฉพาะหอย ห้ามคนท้อง เด็กและคนแก่กิน

ชาวบ้านถามอีกด้วยว่าจะทำอย่างไรให้สารพิษหายไปจากแม่น้ำ เราอยู่ตรงนี้ไม่รู้ว่าสารพิษมาจากไหน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top