เฉลิมชัยชง‘บิ๊กแพ็คเกจ’8หมื่นล้านอุ้มราคายางเข้าครม. เคาะ‘ประกันรายได้’60บาท
26 สิงหาคม 2562 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(รมว.เกษตรและสหกรณ์) กล่าวว่า ได้เชิญทุกภาคส่วนมาประชุมสรุปแผนการดำเนินงานโครงการประกันรายได้ชาวสวนยางพาราเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง และลดผลกระทบให้แก่เกษตรกรเดือดร้อนราคายางพาราตกต่ำ เกษตรกรชาวสวนยางที่เข้าร่วมโครงการได้ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2562 มี 1,129,330 ราย พื้นที่ 13,326,540 ไร่ กรอบวงเงินงบประมาณ 33,074,031,095 บาท เฉลี่ยผลผลิต 20 กิโลกรัมต่อไร่ต่อเดือน ได้ปริมาณผลผลิตรวม 267,000,000กิโลกรัม ขณะนี้แผนปฏิบัติการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมนำเสนอบอร์ดกยท. จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.) แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ กยท.กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้เป็นยางแห้ง 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน รายละไม่เกิน 25 ไร่ ระยะเวลาประกันรายได้ 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562-เดือนมีนาคม 2563 ราคายางที่ประกันรายได้กำหนดให้สำหรับยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาท/กิโลกรัม น้ำยางสด (DRC 100%) 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 100%) 50 บาท/กิโลกรัม
นอกจากนี้ยังกำหนดให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เข้าร่วมโครงการต้องปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นหรือเลี้ยงปศุสัตว์ร่วมในสวนยาง เป็นต้น เพื่อเพิ่มรายได้อย่างความยั่งยืน สำหรับการจ่ายเงินจะโอนเข้าบัญชีของเกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) โดย 2 เดือนจ่าย 1 ครั้ง
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้กำลังเร่งประสานกับหน่วยราชการต่างๆ ในการทำข้อตกลงรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรเพื่อนำไปแปรรูปใช้ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ส่วนผู้ประกอบการที่มาร่วมประชุมวันนี้ ยินดีร่วมมือเพิ่มสต็อกยาง หรือยางแห้ง ซึ่งมีโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงินกู้รวมทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท เพื่อดูดซับยางออกจากระบบให้ได้ 11% ของผลผลิตยางแห้ง 350,000 ตัน
โดยผู้ร่วมโครงการต้องมีสต็อกยางเพิ่มขึ้นมากกว่าสต็อกเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี รัฐบาลสนับสนุนชดเชยดอกเบี้ยอัตราไม่เกิน 3% รวมไม่เกิน 600 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562-กันยายน 2563 เงินกู้สำหรับขยายกำลังการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง 25,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการต้องใช้ยางมากขึ้นอย่างน้อย 4 ตันต่อปี ต่อวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับการชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 3% จะทำให้การใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น 100,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดภาษีให้เพื่อเป็นแรงจูงใจ โดยผู้ประกอบการที่เพิ่มปริมาณการใช้ยางมากขึ้นกว่าปีก่อนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อยางวัตถุดิบไปลดหย่อนภาษีจากกรมสรรพากรได้ถึง 2 เท่าของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2562
ส่วนผู้แทนสถาบันเกษตรกรนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้ทำความเข้าใจถึงการบริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดซึ่งจำเป็นต้องลดพื้นที่ปลูกยางลง 400,000 ไร่ โดยหากปรับพื้นที่ปลูกยางไปปลูกพืชอื่น ทำปศุสัตว์ หรือประมง รัฐบาลสนับสนุนไร่ละ 10,000 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2567 รวมถึงการขยายเวลาโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นทุนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราไปอีกจนถึง 31 มีนาคม 2567 วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ในการรวบรวมยางจากเกษตรกรได้ไม่น้อยกว่า 700,000 ตันต่อปี ซึ่งหากทำได้ตามมาตรการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวนี้จะทำให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด
“จะลดการพึ่งพาตลาดกลางต่างประเทศลงเนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่บิดเบือนราคา ในฐานะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกควรมีตลาดกลางของตัวเองเป็น New Rubber Market กำหนดราคาล่วงหน้าในตลาดโลกเองได้ซึ่งจะทำให้ราคายางพารามีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน” นายเฉลิมชัยกล่าว
ด้านตัวแทนผู้ประกอบการแปรรูปยางพารา กล่าวว่า พร้อมดำเนินการตามนโยบายของรมว.เกษตรฯ ที่จะเปิดตลาดยางพาราโลกหรือ ไทยคอม กำหนดราคายางโลกเอง และเห็นด้วยกับมาตรการยกระดับราคายางขึ้นทั้งระบบ ซึ่งสต็อกยางโลกหากจะล้นก็ไม่มากเฉลี่ยปีละ3-4แสนตัน ถ้าไทยดันเพิ่มการใช้ยางในหน่วยงานรัฐดูดซับยางออกจากตลาดได้ปีละ1ล้านตันแก้ปัญหายางล้นตลาดได้ จากผลผลิตยางปีละกว่า4-5ล้านตัน ทำให้ราคายางของไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น จะลดช่องว่างในการกดราคาเพื่อการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าลงได้
ส่วนนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง กล่าวว่า มาตรการประกันรายได้ช่วยแก้ความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และเกษตรกรสวนยาง ถือบัตรสีเขียวที่มีเอกสารสิทธิได้ประโยชน์เท่านั้น ในส่วนเกษตรกรถือบัตรสีชมพู ปลูกยางในที่ป่าเสื่อมโทรม มีใบภาษีบำรุงท้องที่ หรือภทบ.จำนวนมากกว่า3.5ล้านไร่ 3แสนราย กลับไม่เคยเข้าถึงการช่วยเหลือของรัฐ แต่ขายยางทุกกิโลกรัมละ2บาท จ่ายค่าภาษีเซส (ค่าธรรมเนียมส่งออกยาง)ให้รัฐ ที่พ่อค้ามาหักกับเกษตรกร
“ดังนั้นจะไปยื่นหนังสือเรียกร้องกับนายกรัฐมนตรี ให้รัฐบาลต้องหามาตรการอื่นช่วยเหลือเช่นเดียวกัน ถ้าเทียบกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น อีอีซี ในส่วนเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ รัฐบาลก็เปิดโอกาสเอกชน และบริษัทต่างชาติ เข้ามาเช่าสิทธิใช้ที่ดินได้ถึง 99 ปี และได้สิทธิลดภาษีต่างๆพิเศษอีกมาก แต่กับเกษตรกรไทย จะช่วยกี่ครั้ง ฝนไม่เคยตกทั่วฟ้า พวกเราน้อยใจกันมาตลอด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี