1.โดยที่พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 มาตรา 61 ทวิและมาตรา 61 ตรี กำหนดความโดยสรุปว่า วินัยและโทษผิดวินัยของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ให้ใช้กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนโดยอนุโลมและกระทรวงมหาดไทยก็ได้วางแนวทางการดำเนินการทางวินัยตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาโดยตลอด
2. พ.ศ.2551 ได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาใช้บังคับโดยมาตรา 139 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดความโดยสรุปว่า ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการประเภทต่างๆ กำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาใช้บังคับหรือใช้บังคับโดยอนุโลมให้ยังคงนำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาใช้บังคับหรือใช้บังคับโดยอนุโลมต่อไป สำหรับการให้นำพระราชบัญญัตินี้ (พ.ศ.2551) ไปใช้บังคับกับข้าราชการประเภทดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนให้กระทำได้โดยมติขององค์กรกลางบริหารงานบุคคล หรือองค์กรที่ทำหน้าที่องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทนั้นๆ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
3.มาตรา 61 ทวิแห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช 2457 กำหนดความโดยสรุปว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและแพทย์ประจำตำบลต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดต้องได้รับโทษ (วรรคสอง)วินัยและโทษผิดวินัยให้ใช้กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนโดยอนุโลม โดยกระทรวงมหาดไทยก็ได้วางแนวทางการดำเนินการในกรณีนี้มาโดยตลอด จนกระทั่ง พ.ศ.2551 ได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 โดยมีบทเฉพาะกาลในมาตรา 139 กำหนดหลักเกณฑ์การนำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนไปใช้บังคับโดยตรงหรือโดยอนุโลม เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติแตกต่างออกไปทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติตาม
4.กรมการปกครอง พิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการทางวินัยแก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ ตามมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 โดยอนุโลมนั้นจะต้องมีกรณีถูกกล่าวหาต่อผู้บังคับบัญชาอยู่ก่อนพ้นจากราชการจึงจะสามารถดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ เว้นแต่กรณีผลการสอบสวนปรากฏว่า เป็นโทษวินัยไม่ร้ายแรงก็ให้งดโทษเสีย (ทั้งนี้มิได้มีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการสอบสวนทางวินัยและพิจารณาสั่งลงโทษแต่ประการใด) แต่การดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 นั้นมีการกำหนดระยะเวลาการสอบสวนไว้ว่า ต้องเริ่มสอบสวนภายในหนึ่งปี และสั่งลงโทษภายในสามปีนับแต่วันที่ผู้นั้นพ้นจากราชการและต้องกล่าวหากระทำผิดวินัยก่อนออกจากราชการ ตรงนี้ทำให้เกิดความแตกต่างกันระหว่างการใช้บังคับกฎหมายสองฉบับจึงได้หารือคณะกรรมการร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย
5.คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย (คณะที่ 1) พิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา 106 (พ.ร.บ.ฯ 2535) เป็นกฎหมายวิธีบัญญัติ ที่บัญญัติถึงกระบวนการในการดำเนินการเพื่อยุติเรื่องที่เกิดขึ้นตามกฎหมายสบัญญัติ ซึ่งจะต้องใช้กฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ขณะพิจารณา ดังนั้นจึงต้องนำมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาใช้บังคับและหากมีข้อขัดข้อง สามารถหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหาข้อยุติได้
6.กระทรวงมหาดไทยจึงได้นำเสนอปัญหาดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาว่า วินัยและโทษผิดวินัยของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ภายหลังพ้นจากตำแหน่งไปแล้วจะใช้บังคับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดและมีระยะเวลาในการลงโทษเพียงใด
7.คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) พิจารณาแล้วมีความเห็นโดยสรุปว่า
1) โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริหารทรัพยากรบุคคลตามหลักคุณธรรม การปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนฯ และการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการที่ออกจากราชการไปแล้ว ตลอดจนมีการสร้างกลไกพิทักษ์ระบบคุณธรรม เพื่ออำนวยความเป็นธรรมด้วย
2) เนื่องด้วยกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนเป็นกฎหมายหลักของการบริหารทรัพยากรบุคคลของภาครัฐ
(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี