รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2568 พูดคุยกับ พล.ท.กนก เนตระคเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาค 2 ในประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา โดย พล.ท.กนก เล่าว่า ตนอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่ปี 2536 ซึ่งกัมพูชายังคงมีปัญหาการสู้รบภายในประเทศอยู่ โดยชายแดนกัมพูชาที่อยู่ติดกับ จ.ศรีสะเกษ ของไทย จะเป็นที่หลบภัยของกลุ่มเขมรแดง ตนก็ต้องเข้าพื้นที่ไปดูเรื่องเขตแดน ต้องคอยบอกผู้นำกลุ่มในกัมพูชาว่าจุดไหนเป็นเขตของไทยห้ามล้ำเข้ามา โดยยึดแผนที่อัตราส่วน 1 : 50,000
ส่วนสถานการณ์ในขณะนี้จะคล้ายกับกรณีปราสาทพระวิหาร กล่าวคือ มีการเจรจา มีการปรับกำลังเพื่อลดการเผชิญหน้า แต่ก็ยังอยู่ในจุดเสี่ยง โดยหากย้อนไปในปี 2551 ตนขึ้นไปที่วัดเพื่อช่วยคนไทย เมื่อช่วยแล้วจึงมีการเจรจากันในวันที่ 13 ส.ค. 2551 ผ่านกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee-RBC) โดยฝ่ายกัมพูชาได้ส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมมาเป็นตัวแทน ส่วนฝ่ายไทยส่งแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นตัวแทน ตกลงกันว่าจะปรับกำลังเพื่อลดการเผชิญหน้า เริ่มวันที่ 14 ส.ค. 2551 และมีการตรวจในวันที่ 17 ส.ค. 2551
“หลังจากนั้นนึกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี ปรากฏว่าต้นเดือนตุลาคม (2551) ก็มีกองกำลังของเขมรลาดตระเวนเข้าไป ตีนเขาพระวิหารประมาณ 10 กิโลฯ ชาวบ้านที่เข้าไปทำไร่ทำนาเขาก็เห็นในพื้นที่ทำกิน เขาก็มารายงาน ผมก็บอกให้ทหารพรานเข้าไปดูว่าเข้ามาตรงไหน อยู่ตรงไหนถึงเข้ามา ชุดของทหารพรานก็จัดเข้าไปตามแนวร่องห้วยตามาเรีย 3 โมงก็ยังไม่ถึง ก็รายงานมาบอกจะค่ำแล้ว ขอกลับ ผมบอกได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จัดใหม่ ผมพาไปเอง
พอวันรุ่งขึ้นผมลงไปตั้งแต่ 10 โมงเช้า นัดเจอทหารพรานที่ห้วยตามาเรีย เสร็จแล้วลาดตระหวนตามลำห้วยขึ้นไป ผมเห็นทางด้านขวามันจะมีร่องรอยของการสร้างฐานของเขมรอยู่ ผมก็เลี้ยวขึ้นไปดูกับลูกน้อง 2 – 3 คน ว่ามาอยู่ตรงนี้เมื่อไหร่ มาทำอะไร แล้วทำไมถึงออกไป แต่ชุดที่พาผมเข้าไป ชุดหน้าทะลุขึ้นไป ก็ไปเจอทหารเขมรอยู่ที่พระลานอินทรี ก็พยายามบอกว่าให้ถอยออกไปเสีย เขมรก็ไม่ยอมถอย ทีนี้ชุดที่ขึ้นไปติดต่อผมไม่ได้ บอกเดี๋ยวลงมาบอกผม พอหันหลังหลับมาเขมรก็ยิงใส่เลย เราก็เจ็บไปคนหนึ่ง”
หลังนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล วันรุ่นขึ้นได้จัดชุดลาดเตระเวนเข้าไปใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้รุกล้ำเข้ามาอีก แต่ครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่เหยียบทุ่นระเบิดบาดเจ็บถึงขั้นขาขาด จึงต้องนำชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติของไทย - TMAC) เข้าไปด้วยเพื่อตรวจพิสูจน์ทราบพื้นที่ ก็เจอทุ่นระเบิดอีก 2 -3 ทุ่น จึงเก็บกู้กลับมาและทำรายงานส่งขึ้นไปตามระบบ และเมื่อกระทรวงการต่างประเทศในเวลานั้นทราบก็เปิดแถลงข่าว บอกว่าฝ่ายกัมพูชามีการใช้ทุ่นระเบิดทำให้ทหารฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บ นี่คือสิ่งที่ตนตั้งประเด็นว่าสามารถไว้วางใจกัมพูชาได้หรือไม่
เมื่อกล่าวถึง “ช่องบก” จ.อุบลราชธานี อันเป็นหนึ่งในจุดที่มีปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา บริเวณดังกล่าวจะมีต้นไม้และเนินเขา มีทรัพยากรสำคัญคือไม้มีค่าและสัตว์ป่า มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ ช่องบกจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับปราสาทต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทราเมือนโต๊ด ก็ต้องจับตาดูว่าเหตุใดกัมพูชาพยายามนำพื้นที่เหล่านี้ไปสู่การพิจารณาของศาลโลก (ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ – ICJ) แม้ท่าทีของไทยจะประกาศชัดเจนว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกก็ตาม
พล.ท.กนก เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อเดือน ก.พ. 2554 ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีเพื่อให้ไทยต่อสู้ จากนั้นจึงค่อยยื่นเรื่องไปศาลโลก และศาลโลกก็รับเรื่องในเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน ดังนั้นฝ่ายไทยต้องระมัดระวัง และต้องย้ำว่า ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา คือผู้มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายอย่างแท้จริง อย่างที่เห็นในกรณีล่าสุด ในตอนแรก ฮุน เซน ประกาศกัมพูชาจะไม่ยอมถอย จนไทยต้องใช้มาตรการปิดด่านจึงได้ยอมถอย คือปิดด่านก่อนแล้วจึงเจรจา
ประการต่อมา “ข่าวสารการเมืองภายในของทั้ง 2 ประเทศ” เป็นเรื่องที่อยู่ชายแดนต้องติดตามให้ทันและประสานกันให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์แบบที่ตนเจอเมื่อปี 2551 เพราะเวลานั้นตนไม่รู้ว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยแถลงข่าวเรื่องกัมพูชาแอบวางทุ่นระเบิดซึ่งขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) ทำให้เมื่อไปลาดตระเวนในวันต่อมาก็ถูกทหารกัมพูชายิงใส่
“เราต้องเข้าใจว่าในการเจรจามันอยู่ที่ว่าใครจะหยิบเรื่องอะไรขึ้นมา แล้วก็เอาเหตุเอาผลมาคุยกัน เพราะฉะนั้นเจรจา JBC (Joint Boundary Commission - คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม) อาจมีเกาะกูดขึ้นมาด้วยก็ได้นะ เขาก็สามารถยกมาได้เพราะตอนนี้เขาบอกว่าเราจะไปคุยช่องบก เขาบอกไม่คุยด้วย เขาจะเอาไปศาลโลก แล้วเขมรจะเอาอะไรขึ้นมา มันก็เป็น JBC เหมือนกัน จากทางบกลงทะเล มันก็จะสู่อย่างนั้นได้ หมากของเขาต้องการจะดึงเราไป แต่ผมว่าประเด็นแรก ในเมื่อไทยจะเอาช่องบกใช่ไหม ไปศาลโลกก่อน ให้ศาลโลกตัดสินดีไหม เราคุยกันไม่รู้เรื่อง”
เมื่อวิเคราะห์ถึงบุคลิกของ ฮุน เซน จะเห็นว่าเป็นคนที่ตัดสินใจแล้วมีคนพร้อมจะทำตามได้ตลอด จะบอกว่าเป็นเผด็จการก็ได้ แต่ต้องย้ำว่าตนไม่ได้เกลียด ฮุน เซน เป็นเพียงการวิเคราะห์จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และที่ต้องออกมาเล่าก็เพราะ ฮุน เซน เคยกล่าวหาตนว่านำกำลังฝ่ายไทยรุกรานกัมพูชาเมื่อปี 2551 จึงต้องชี้แจงให้คนไทยได้รับรู้ ขณะที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน ก็เดินตามรอย ฮุน เซน ผู้เป็นบิดา
ส่วนการเจรจา JBC เชื่อหาคงหาข้อยุติได้ยากเพราะใช้แผนที่คนละฉบับ ในขณะที่ฝ่ายไทยใช้อัตราส่วน 1 : 50,000 แต่ฝ่ายกัมพูชาใช้อัตราส่วน 1 : 200,000 ส่วนจะเจรจากันเรื่องใดบ้างต้องรอคณะทำงานเข้าไปพูดคุยเบื้องต้นก่อน อย่างเรื่องช่องบก คาดว่ากัมพูชาคงไม่คุยด้วย เว้นแต่ในห้วงเวลาไม่กี่วันที่เหลือก่อนถึงวันเจรจา JBC จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมาตรการกดดันต้องดำเนินต่อไป เพราะอำนาจต่อรองอย่างการปิดด่านเห็นแล้วว่าได้ผล แม้ในทางปฏิบัติจะเป็นการปิดในบางวันและบางเวลาก็ตาม เพราะการค้าชายแดนยุคนี้มีมากกว่าในอดีต
แต่สิ่งที่อยากเสนอคือเพิ่มความเข้มข้นเข้าไป อย่างเรื่องน้ำมันที่ฝ่ายไทยยังไม่จำกัดอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากทางบกแล้วยังมีการขนส่งทางทะเล เช่นเดียวกับการตัดกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเตอร์เน็ต ซึ่งเชื่อมโยงกับกิจการกาสิโนในกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายได้อย่างมากจากคนไทยที่ข้ามไปเล่นการพนัน แต่ระยะหลังๆ รายได้ในส่วนนี้น้อยลง จึงปรับตัวเป็นแหล่งมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมาหลอกคนไทย ดังนั้นไทยควรใช้โอกาสนี้จัดการไปด้วย เพราะเมื่อไม่มีไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ต มิจฉาชีพเหล่านี้ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ และเพิ่มอำนาจต่อรองให้ฝ่ายไทย
นอกจากนั้น ควรยกเลิกบันทึกความเข้าใจที่ทำร่วมกันในปี 2543 (MOU43) เพราะแม้แต่ ฮุน เซน ก็ยังบอกว่ามีมาแล้ว 25 ปี เป็นของล้าสมัย กลไกอย่าง JBC หรือ RBC ทำแล้วก็ไม่เคยตกลงกันได้ ส่วนคำถามว่ายกเลิกแล้วจะเข้าทางกัมพูชาหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า MOU43 มีแผนที่แนบท้ายอัตราส่วน 1 : 200,000 ที่กัมพูชาใช้อยู่ และฝ่ายไทยควรทำให้เห็นว่าแผนที่ 1 : 200,000 ไม่ถูกต้องตามสนธิสัญญาและไม่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่จากทั่วโลกมาช่วยกันดู แต่ที่ผ่านมาฝ่ายไทยกลับไม่เคยทำในส่วนนี้ เท่าที่ทราบคือกลัวกัมพูชาประท้วง
ส่วนคำถามว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย กับ ฮุน เซน จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายได้หรือไม่ มองว่าหากจะช่วยก็คงช่วยตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2568 ที่เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารของทั้ง 2 ประเทศแล้ว จึงทำให้ถูกตั้งคำถามว่ารู้เห็นเป็นใจหรือไม่ เพราะท่าทีของกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. – 6 มิ.ย. 2568 แข็งกร้าวมาตลอด จนสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนในวันที่ 7 มิ.ย. 2568 เมื่อฝ่ายไทยตัดสินใจใช้มาตรการปิดด่าน แต่สำหรับ ฮุน เซน เป้าหมายแรกคือไปศาลโลกนั้นได้แล้ว แต่เป้าหมายต่อไปคืออะไรก็ต้องคอยติดตาม
“ถ้าเขาเป็นญาติกัน น่าจะคุยกันรู้เรื่อง เพียงแต่ว่าเขาจะทำหรือไม่ จริงๆ น่าจะเป็นโอกาสอันดีในการที่เขาทำ มันเกิดผลประโยชน์ดีกับเขามาก คนก็จะได้เข้าใจว่าเขารักชาติบ้านเมือง ช่วยกันทำ แล้วประชาชนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข สามารถที่จะค้าชายกันได้ แล้วลูกเขาทั้ง 2 คน ก็เป็นนายกฯ ทั้ง 2 ฝั่ง ทำไมไม่เคลียร์ตั้งแต่หลังวันที่ 28 พ.ค. 2568 แค่คุยกันมันก็น่าจะลงมาได้”
สำหรับคำแนะนำถึงกองทัพ 1.ต้องควบคุมพื้นที่ช่องบกให้ได้ เพราะเป็นจุดเสี่ยงปะทะมากที่สุด แต่ลักษณะภูมิประเทศ ณ ปัจจุบันกัมพูชายังเสียเปรียบเนื่องจากไทยอยู่ในพื้นที่สูงกว่า อย่างที่เห็นทหารกัมพูชาขุดหลุมเพลาะนั่นคือพยายามจะเข้ามาในจุดที่สูง กระทั่งล่าสุดยอมกลบหลุมและถอยกลับไปอยู่ด้านล่างตามเดิม 2.สร้างอำนาจต่อรอง พื้นที่ตลอดแนวชายแดน ต้องศึกษาให้เข้าใจว่าจุดใดที่ไทยได้เปรียบ จุดใดเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาต้องการ
แต่ท้ายที่สุดแล้ว “ความขัดแย้งด้านพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา จะยังเกิดขึ้นต่อไป ตราบใดที่การปักปันเขตแดนไม่ทำให้เสร็จสมบูรณ์” ต่อให้ผ่านไปอีก 100 ปี บรรดาผู้นำกัมพูชาในยุคปัจจุบันเสียชีวิตไปหมดก็ยังไม่จบ ดังนั้นหลักฐานต่างๆ ที่สามารถยืนยันสิทธิ์ได้ต้องเก็บไว้เผื่อต้องใช้ยืนยันในเวทีโลก และหากเป็นไปได้ควรเชิญคณะทูตนานาชาติลงพื้นที่จริงด้วย เพราะอยู่ในห้องประชุมอย่างมากก็มีเพียงคนอธิบายกับแผนที่ ไม่ใช่ปล่อยให้กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกอย่างเดียว!!!
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี