ครม.เคาะกระตุ้นศก.4เดือน บูมท่องเที่ยว คลอดแพ็กเกจลดหย่อนภาษี

ครม.เคาะกระตุ้นศก.4เดือน บูมท่องเที่ยว คลอดแพ็กเกจลดหย่อนภาษี

วันพฤหัสบดี ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ครม.เคาะกระตุ้นศก.4เดือน
บูมท่องเที่ยว
คลอดแพ็กเกจลดหย่อนภาษี
ร้านค้าแห่ลงทะเบียนวันแรก
‘คนละครึ่งพลัส’เป้า9แสนราย
‘ลิซ่า’ทูตAmazing Thailand

นายกฯนั่งหัวโต๊ะถก“ครม.เศรษฐกิจ”นัดแรก เคาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เน้นนโยบาย“Quick Big Win”4 เดือน “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว”“รมว.คลัง”ดันปลุกท่องเที่ยว ชงมาตรการ“ท่องเที่ยวแพ็กเกจใหญ่” ลดหย่อนภาษี 2หมื่นบาท หวังกู้เศรษฐกิจให้คึกคัก เที่ยว‘เมืองหลัก’ลดหย่อน 1 เท่า เที่ยว‘เมืองรอง’ลดหย่อน 1.5 เท่า หวังดันจีดีพีร้อยละ 0.4 สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาภายในม.ค.ปีหน้า เร่งรัดเบิกงบฯปี’69 กว่า3.78 ล้านล้าน วันแรกเปิดร้านค้าแห่ลงทะเบียน‘คนละครึ่งพลัส’คึกคัก ‘เอกนิติ’ชวนร้านค้าเข้าร่วม 9แสนราย คาดเงินสะพัด 8.8หมื่นล้าน ททท.ปลื้ม‘ลิซ่า’รับเป็นAmbassador โปรโมต‘เที่ยวไทย’ปี 69

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 เป็นครั้งแรก โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล รมช.มหาดไทย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)และตัวแทนสถาบันคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอก ประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม


นายกฯนั่งถกครม.เศรษฐกิจ’นัดแรก

โดยนายกฯกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกของรัฐบาลนี้ โดยรัฐบาลได้มีนโยบายให้มีการจัดประชุมครม.เศรษฐกิจ ก่อนที่จะมีการประชุมครม.ทั่วไป โดยได้รับคำแนะนำจาก นายเอกนิติ รองนายกฯว่าในเมื่อจะมีการประชุมเรื่องเศรษฐกิจแล้วและเพื่อการที่จะทำให้การสื่อสารมีความรวดเร็ว และสามารถรับฟังปัญหาจากทุกฝ่ายได้ จึงขอให้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีทั้งตัวแทนภาคเอกชนมาร่วมด้วย ขอขอบคุณประธานภาคเศรษฐกิจและภาคเอกชนที่ได้ให้ความร่วมมือมาร่วมประชุม

“ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความร่วมมือนี้ เราจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตและแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้ ถึงแม้ว่าเราจะมีระยะเวลาการบริหารงานในช่วง 4 เดือนนี้ ซึ่งในการดำเนินการต่างๆนั้นเราจะเน้นในเรื่องของการทำนโยบาย ควิกวิน หรือ ตามมอตโต้ ของนายเอกนิติ คือ Quick Big Win เพื่อให้สอดคล้องอยู่ในกรอบเวลาที่รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มตัว”นายกฯย้ำ

โดยเตรียมจัดประชุมทุกสัปดาห์ ในบ่ายวันจันทร์ ก่อนการประชุม ครม.เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต แก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้ โดยเน้นการทำนโยบาย Quick Big Win จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนให้เกิดความสำเร็จ เห็นผลภายในเวลาอีกไม่ถึง 4 เดือน ตามแนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” รวมทั้งได้เชิญตัวแทนภาคเอกชนทั้ง 3 สถาบัน เข้าร่วมประชุม เพื่อให้ข้อมูลและความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ฝากช่วยกันโปรโมทคนละครึ่งพลัส

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่าวันนี้มีเปิดให้ลงทะเบียนร้านค้าวันแรก ฝากช่วยประชาสัมพันธ์ให้เร่งลงทะเบียนได้จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 โอกาสนี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลังมอบเสื้อยืดโครงการ คนละครึ่งพลัส ให้นายกรัฐมนตรีและกนศ. ด้วยและขอให้คณะกรรมการเศรษฐกิจทุกท่านช่วยกันโปรโมทโครงการ

ครม.เคาะQuick Big Win 5 เสาหลัก

ที่ประชุมได้พิจารณามาตรา Quick Big Win 5 เสาหลัก “กระตุ้นสั้นได้ผลยาว กระจายตัว” 1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว 2. ลดภาระหนี้ประชาชน 3.เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs 4. เพิ่มการออมของประชาชน และ 5. การลงทุนเพื่ออนาคต โดยได้มอบหมายให้กระทรวงต่างๆที่มีโครงการภายใต้นโยบาย Quick Big Win กำหนด Action Plan ตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจน และสามารถประเมินผลได้จริง สอดคล้องกับแนวทาง “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งจะได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

‘คลัง’เคาะกระตุ้นท่องเที่ยว‘แพ็กเกจใหญ่

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจว่า ในส่วนที่มีการเดินหน้าในวันนี้แล้ว คือการเปิดลงทะเบียนร้านค้าสำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ได้มีการเปิดตัวโครงการไปแล้วตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา

“ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน หลังการท่องเที่ยวในประเทศติดลบร้อยละ 8 ใน 8 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง จึงเสนอเป็นแพ็กเกจการท่องเที่ยว จึงเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว”

ลดหย่อนภาษีเที่ยว‘เมืองหลัก-เมืองรอง’

โดยประกอบไปด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.มาตรการทางภาษี โดยให้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดคนละ 20,000 บาท มาตรการนี้จะให้สิทธิ์ในการลดหย่อนสำหรับการท่องเที่ยวเมืองหลัก 1 เท่า และ เมืองรองให้สิทธิ์ได้ 1.5 เท่า เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. - 15 ธ.ค.68

เร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาภายในม.ค.ปีหน้า

2.โครงการเร่งรัดการจัดประชุมสัมมนาของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณของแต่ละภาคส่วนอยู่แล้วไม่ใช่งบประมาณใหม่ มีงบประมาณอยู่ราว 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการ 3,000 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 3,000 ล้านบาท สำหรับการอบรมสัมมนา ยังไม่รวมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งไว้เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว กำหนดให้เบิกจ่าย 60% ของงบอบรมสัมมนาภายในเดือน ม.ค.69 แทนที่จะรอจ่ายในไตรมาส 3-4 ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอจากภาคเอกชน โดยประธานหอการค้าเสนอให้บริษัทนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการพาพนักงานเที่ยวในประเทศมาหักลดหย่อนภาษีได้เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวซึ่งกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้

ให้สิทธิ์โรงแรมเมืองรองหักค่าปรับปรุง2เท่า

นายเอกนิติกล่าวว่า 3.มาตรการสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมและที่พัก ให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงแรมได้2เท่า สำหรับเมืองรอง โดยเฉพาะ โดยให้สิทธิ์ใช้จ่ายได้ถึงเดือนมี.ค.69โดยสามารถนำไปใช้ในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อลดต้นทุนและความยั่งยืน การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสีย

ขณะเดียวกัน ยังมีการพิจารณามาตรการอื่นๆเช่นการลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยประสานกระทรวงมหาดไทยและกรมสรรพสามิต เชื่อมโยงข้อมูลสถานบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการถูกต้องสามารถเข้าสู่ระบบและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างครอบคลุม

เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี2569

รองนายกฯกล่าวว่าได้มีการหารือเรื่องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2569 วงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา มีงบเหลือจ่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า 300,000 ล้านบาท และงบลงทุนเบิกจ่ายได้แค่ 65% เท่านั้น ในปีนี้จึงมีมีการตั้งเป้าการเบิกจ่ายงบประมาณปกติไว้ที่ 93% และงบลงทุนฯไว้ที่ 75% รวมทั้งกำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI) ของหัวหน้าส่วนราชการด้วย โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะติดตามเป็นรายเดือนและรายงานนายกรัฐมนตรีทราบ

ขณะที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการเศรษฐกิจช่วงปลายปีของรัฐบาล จะดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4%โดยยังไม่รวมกับมาตรการสินเชื่อที่จะลงไปเพิ่มเติมหลังจากนี้

ร้านค้าเข้าร่วม‘คนละครึ่งพลัส’9แสนราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้ลงพื้นที่ตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง เพื่อเชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสที่เพิ่งเปิดลงทะเบียนร้านค้า สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส โดยระบุว่าขณะนี้ร้านค้าสามารถทยอยเข้าลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ธ.ค.68 โดยปัจจุบันมีร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 และยังค้าขายอยู่ประมาณ 1 แสนราย และตั้งเป้าหมายว่าในรอบนี้ จะมีร้านค้ามาลงทะเบียนไม่น้อยกว่ารอบที่แล้ว 900,000 ราย

“โครงการนี้จะเน้นไปที่ธุรกิจรายเล็กรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าในตลาดโดยไม่ได้เปิดให้รายใหญ่หรือโมเดิร์นเทรดเข้าร่วม ยังเปิดโอกาสให้นิติบุคคลรายเล็กรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกิน1.8ล้านบาทสามารถเข้าสู่ระบบได้ด้วย นอกจากนี้ การใช้บริการขนส่งมวลชนยังเปิดให้เข้าร่วมรวมถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่มีใบขับขี่สาธารณะถูกต้อง ตลอดจนกำลังหารือแพลตฟอร์มออนไลน์ เปิดให้ร้านขายอาหารหรือฟู้ดเดลิเวอรี่เข้าร่วมได้ด้วย”นายเอกนิติย้ำ

ตั้งเป้าคาดเงินสะพัด 8.8 หมื่นล้าน

นายเอกนิติ กล่าวว่าข้อมูลในโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นระบบปิดเพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ข้อมูลการค้าขาย โดยจะไม่ถูกส่งออกไปให้ใครรวมถึงกรมสรรพากรก็ไม่สามารถนำข้อมูลออกไปได้ การเสียภาษีถือเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนเมื่อมีรายได้

ทั้งนี้ คนละครึ่งพลัสมีเป้าหมายในการอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจรวม 88,000 ล้านบาท โดยมาจากเงินสมทบของรัฐบาล 44,000 ล้านบาท และเงินใช้จ่ายของประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มใช้จ่ายได้วันแรกในวันที่ 29 ต.ค.ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 และเชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะติดลบในไตรมาสที่ 4 ได้

ททท.ปลื้ม‘ลิซ่า’รับโปรโมตเที่ยวไทยปี69

ขณะที่ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เปิดเผยว่า ลิซ่า หรือ ลลิษา มโนบาล ได้ตอบรับทำหน้าที่ เป็นตัวแทนการท่องเที่ยวไทย“Amazing Thailand Ambassador”เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ ซึ่งการร่วมงานกับ‘ลิซ่า’ในฐานะAmazing Thailand Ambassadorถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำเสนอเสน่ห์ ความหลากหลายและความมหัศจรรย์ของเมืองไทยในมุมมองใหม่ที่จะทำให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมค้นพบไปพร้อมกันกับ Amazing Thailand ททท.มุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างอบอุ่นสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำคุณภาพสูง(Quality Leisure Destination) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่อยากเดินทางมาสร้างความทรงจำที่มีคุณค่าและไม่รู้ลืมในทุกย่างก้าวของการเดินทาง

เชื่อผลักดันไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ผู้ว่าการททท.กล่าวว่าบทบาท“Amazing Thailand Ambassador”ของ“ลิซ่า”ลลิษา มโนบาล ในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย ด้วยผลงานและความสำเร็จของเธอที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ลิซ่ายังเป็นเสียงอันทรงพลังที่จะบอกเล่าเรื่องราวของความงดงามและเอกลักษณ์ไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้การที่ททท.พร้อมทั้งแบรนด์“Amazing Thailand”ได้ร่วมงานกับ “ลิซ่า”ในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความสนใจในการท่องเที่ยวของประเทศไทยแต่เป็นการตอกย้ำคุณค่าของวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมถึงความอบอุ่นและความมีไมตรีจิตของคนไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในทุกมิติว่า“ประเทศไทย”คือจุดหมายปลายทางที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่จะสร้างความประทับใจกับผู้มาเยือน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top