ครม.เคาะกระตุ้นศก.4เดือน
บูมท่องเที่ยว
คลอดแพ็กเกจลดหย่อนภาษี
ร้านค้าแห่ลงทะเบียนวันแรก
‘คนละครึ่งพลัส’เป้า9แสนราย
‘ลิซ่า’ทูตAmazing Thailand
นายกฯนั่งหัวโต๊ะถก“ครม.เศรษฐกิจ”นัดแรก เคาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เน้นนโยบาย“Quick Big Win”4 เดือน “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว”“รมว.คลัง”ดันปลุกท่องเที่ยว ชงมาตรการ“ท่องเที่ยวแพ็กเกจใหญ่” ลดหย่อนภาษี 2หมื่นบาท หวังกู้เศรษฐกิจให้คึกคัก เที่ยว‘เมืองหลัก’ลดหย่อน 1 เท่า เที่ยว‘เมืองรอง’ลดหย่อน 1.5 เท่า หวังดันจีดีพีร้อยละ 0.4 สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาภายในม.ค.ปีหน้า เร่งรัดเบิกงบฯปี’69 กว่า3.78 ล้านล้าน วันแรกเปิดร้านค้าแห่ลงทะเบียน‘คนละครึ่งพลัส’คึกคัก ‘เอกนิติ’ชวนร้านค้าเข้าร่วม 9แสนราย คาดเงินสะพัด 8.8หมื่นล้าน ททท.ปลื้ม‘ลิซ่า’รับเป็นAmbassador โปรโมต‘เที่ยวไทย’ปี 69
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 เป็นครั้งแรก โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล รมช.มหาดไทย นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)และตัวแทนสถาบันคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอก ประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายกฯนั่งถกครม.เศรษฐกิจ’นัดแรก
โดยนายกฯกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกของรัฐบาลนี้ โดยรัฐบาลได้มีนโยบายให้มีการจัดประชุมครม.เศรษฐกิจ ก่อนที่จะมีการประชุมครม.ทั่วไป โดยได้รับคำแนะนำจาก นายเอกนิติ รองนายกฯว่าในเมื่อจะมีการประชุมเรื่องเศรษฐกิจแล้วและเพื่อการที่จะทำให้การสื่อสารมีความรวดเร็ว และสามารถรับฟังปัญหาจากทุกฝ่ายได้ จึงขอให้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีทั้งตัวแทนภาคเอกชนมาร่วมด้วย ขอขอบคุณประธานภาคเศรษฐกิจและภาคเอกชนที่ได้ให้ความร่วมมือมาร่วมประชุม
“ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความร่วมมือนี้ เราจะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตและแก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้ ถึงแม้ว่าเราจะมีระยะเวลาการบริหารงานในช่วง 4 เดือนนี้ ซึ่งในการดำเนินการต่างๆนั้นเราจะเน้นในเรื่องของการทำนโยบาย ควิกวิน หรือ ตามมอตโต้ ของนายเอกนิติ คือ Quick Big Win เพื่อให้สอดคล้องอยู่ในกรอบเวลาที่รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มตัว”นายกฯย้ำ
โดยเตรียมจัดประชุมทุกสัปดาห์ ในบ่ายวันจันทร์ ก่อนการประชุม ครม.เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต แก้ไขปัญหาปากท้องให้ประชาชนได้ โดยเน้นการทำนโยบาย Quick Big Win จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนให้เกิดความสำเร็จ เห็นผลภายในเวลาอีกไม่ถึง 4 เดือน ตามแนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” รวมทั้งได้เชิญตัวแทนภาคเอกชนทั้ง 3 สถาบัน เข้าร่วมประชุม เพื่อให้ข้อมูลและความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการ เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ฝากช่วยกันโปรโมทคนละครึ่งพลัส
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่าวันนี้มีเปิดให้ลงทะเบียนร้านค้าวันแรก ฝากช่วยประชาสัมพันธ์ให้เร่งลงทะเบียนได้จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 โอกาสนี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลังมอบเสื้อยืดโครงการ คนละครึ่งพลัส ให้นายกรัฐมนตรีและกนศ. ด้วยและขอให้คณะกรรมการเศรษฐกิจทุกท่านช่วยกันโปรโมทโครงการ
ครม.เคาะQuick Big Win 5 เสาหลัก
ที่ประชุมได้พิจารณามาตรา Quick Big Win 5 เสาหลัก “กระตุ้นสั้นได้ผลยาว กระจายตัว” 1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว 2. ลดภาระหนี้ประชาชน 3.เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs 4. เพิ่มการออมของประชาชน และ 5. การลงทุนเพื่ออนาคต โดยได้มอบหมายให้กระทรวงต่างๆที่มีโครงการภายใต้นโยบาย Quick Big Win กำหนด Action Plan ตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจน และสามารถประเมินผลได้จริง สอดคล้องกับแนวทาง “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งจะได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
‘คลัง’เคาะกระตุ้นท่องเที่ยว‘แพ็กเกจใหญ่’
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจว่า ในส่วนที่มีการเดินหน้าในวันนี้แล้ว คือการเปิดลงทะเบียนร้านค้าสำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ได้มีการเปิดตัวโครงการไปแล้วตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา
“ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน หลังการท่องเที่ยวในประเทศติดลบร้อยละ 8 ใน 8 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง จึงเสนอเป็นแพ็กเกจการท่องเที่ยว จึงเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว”
ลดหย่อนภาษีเที่ยว‘เมืองหลัก-เมืองรอง’
โดยประกอบไปด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1.มาตรการทางภาษี โดยให้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดคนละ 20,000 บาท มาตรการนี้จะให้สิทธิ์ในการลดหย่อนสำหรับการท่องเที่ยวเมืองหลัก 1 เท่า และ เมืองรองให้สิทธิ์ได้ 1.5 เท่า เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. - 15 ธ.ค.68
เร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาภายในม.ค.ปีหน้า
2.โครงการเร่งรัดการจัดประชุมสัมมนาของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีงบประมาณของแต่ละภาคส่วนอยู่แล้วไม่ใช่งบประมาณใหม่ มีงบประมาณอยู่ราว 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนราชการ 3,000 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 3,000 ล้านบาท สำหรับการอบรมสัมมนา ยังไม่รวมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งไว้เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว กำหนดให้เบิกจ่าย 60% ของงบอบรมสัมมนาภายในเดือน ม.ค.69 แทนที่จะรอจ่ายในไตรมาส 3-4 ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอจากภาคเอกชน โดยประธานหอการค้าเสนอให้บริษัทนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการพาพนักงานเที่ยวในประเทศมาหักลดหย่อนภาษีได้เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวซึ่งกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้
ให้สิทธิ์โรงแรมเมืองรองหักค่าปรับปรุง2เท่า
นายเอกนิติกล่าวว่า 3.มาตรการสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมและที่พัก ให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโรงแรมได้2เท่า สำหรับเมืองรอง โดยเฉพาะ โดยให้สิทธิ์ใช้จ่ายได้ถึงเดือนมี.ค.69โดยสามารถนำไปใช้ในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อลดต้นทุนและความยั่งยืน การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสีย
ขณะเดียวกัน ยังมีการพิจารณามาตรการอื่นๆเช่นการลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยประสานกระทรวงมหาดไทยและกรมสรรพสามิต เชื่อมโยงข้อมูลสถานบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการถูกต้องสามารถเข้าสู่ระบบและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างครอบคลุม
เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี2569
รองนายกฯกล่าวว่าได้มีการหารือเรื่องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2569 วงเงินกว่า 3.78 ล้านล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา มีงบเหลือจ่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า 300,000 ล้านบาท และงบลงทุนเบิกจ่ายได้แค่ 65% เท่านั้น ในปีนี้จึงมีมีการตั้งเป้าการเบิกจ่ายงบประมาณปกติไว้ที่ 93% และงบลงทุนฯไว้ที่ 75% รวมทั้งกำหนดเป็นตัวชี้วัด (KPI) ของหัวหน้าส่วนราชการด้วย โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะติดตามเป็นรายเดือนและรายงานนายกรัฐมนตรีทราบ
ขณะที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการเศรษฐกิจช่วงปลายปีของรัฐบาล จะดันให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4%โดยยังไม่รวมกับมาตรการสินเชื่อที่จะลงไปเพิ่มเติมหลังจากนี้
ร้านค้าเข้าร่วม‘คนละครึ่งพลัส’9แสนราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้ลงพื้นที่ตลาดนัดหลังกระทรวงการคลัง เพื่อเชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสที่เพิ่งเปิดลงทะเบียนร้านค้า สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส โดยระบุว่าขณะนี้ร้านค้าสามารถทยอยเข้าลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ธ.ค.68 โดยปัจจุบันมีร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 และยังค้าขายอยู่ประมาณ 1 แสนราย และตั้งเป้าหมายว่าในรอบนี้ จะมีร้านค้ามาลงทะเบียนไม่น้อยกว่ารอบที่แล้ว 900,000 ราย
“โครงการนี้จะเน้นไปที่ธุรกิจรายเล็กรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าในตลาดโดยไม่ได้เปิดให้รายใหญ่หรือโมเดิร์นเทรดเข้าร่วม ยังเปิดโอกาสให้นิติบุคคลรายเล็กรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกิน1.8ล้านบาทสามารถเข้าสู่ระบบได้ด้วย นอกจากนี้ การใช้บริการขนส่งมวลชนยังเปิดให้เข้าร่วมรวมถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่มีใบขับขี่สาธารณะถูกต้อง ตลอดจนกำลังหารือแพลตฟอร์มออนไลน์ เปิดให้ร้านขายอาหารหรือฟู้ดเดลิเวอรี่เข้าร่วมได้ด้วย”นายเอกนิติย้ำ
ตั้งเป้าคาดเงินสะพัด 8.8 หมื่นล้าน
นายเอกนิติ กล่าวว่าข้อมูลในโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นระบบปิดเพื่อความปลอดภัยของลูกค้า ข้อมูลการค้าขาย โดยจะไม่ถูกส่งออกไปให้ใครรวมถึงกรมสรรพากรก็ไม่สามารถนำข้อมูลออกไปได้ การเสียภาษีถือเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนเมื่อมีรายได้
ทั้งนี้ คนละครึ่งพลัสมีเป้าหมายในการอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจรวม 88,000 ล้านบาท โดยมาจากเงินสมทบของรัฐบาล 44,000 ล้านบาท และเงินใช้จ่ายของประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มใช้จ่ายได้วันแรกในวันที่ 29 ต.ค.ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 และเชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะติดลบในไตรมาสที่ 4 ได้
ททท.ปลื้ม‘ลิซ่า’รับโปรโมตเที่ยวไทยปี69
ขณะที่ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เปิดเผยว่า ลิซ่า หรือ ลลิษา มโนบาล ได้ตอบรับทำหน้าที่ เป็นตัวแทนการท่องเที่ยวไทย“Amazing Thailand Ambassador”เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์ของประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ ซึ่งการร่วมงานกับ‘ลิซ่า’ในฐานะAmazing Thailand Ambassadorถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำเสนอเสน่ห์ ความหลากหลายและความมหัศจรรย์ของเมืองไทยในมุมมองใหม่ที่จะทำให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมค้นพบไปพร้อมกันกับ Amazing Thailand ททท.มุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีคุณภาพและปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างอบอุ่นสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำคุณภาพสูง(Quality Leisure Destination) และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่อยากเดินทางมาสร้างความทรงจำที่มีคุณค่าและไม่รู้ลืมในทุกย่างก้าวของการเดินทาง
เชื่อผลักดันไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ผู้ว่าการททท.กล่าวว่าบทบาท“Amazing Thailand Ambassador”ของ“ลิซ่า”ลลิษา มโนบาล ในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย ด้วยผลงานและความสำเร็จของเธอที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ลิซ่ายังเป็นเสียงอันทรงพลังที่จะบอกเล่าเรื่องราวของความงดงามและเอกลักษณ์ไทยให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้การที่ททท.พร้อมทั้งแบรนด์“Amazing Thailand”ได้ร่วมงานกับ “ลิซ่า”ในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความสนใจในการท่องเที่ยวของประเทศไทยแต่เป็นการตอกย้ำคุณค่าของวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมถึงความอบอุ่นและความมีไมตรีจิตของคนไทย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในทุกมิติว่า“ประเทศไทย”คือจุดหมายปลายทางที่พร้อมมอบประสบการณ์ที่จะสร้างความประทับใจกับผู้มาเยือน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี