ข่าวการพบการทุจริตในวงราชการไทยผุดขึ้นมามากมายในช่วงนี้ ในยุคที่ไร้นักการเมืองที่ผู้คนมักกล่าวขานกันว่าเป็นตัวการสำคัญในการทุจริตคอร์รัปชัน ทำให้สื่อหลายสำนักรุมพาดหัวข่าวว่าการทุจริตในช่วง 3 ปี ในสมัยของ คสช.มีมูลค่าสูงถึง 8 แสนล้านบาท โดยอ้างว่ามาจากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในครึ่งปีหลังของปี 2560 ซึ่งหากเข้าไปหาตัวเลขนี้ในรายงานของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะพบแต่เพียงผลสำรวจอัตราจ่ายใต้โต๊ะที่พุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี ประเมินค่าเสียหาย 1-2 แสนล้านเท่านั้น มิใช่ 8 แสนล้านบาท ตามที่ยกกันไปเทียบว่ารัฐบาลทหารมีการทุจริตใกล้เคียงกับตัวเลขทุจริตข้าว ของรัฐบาลของนักการเมือง
ตัวเลขมูลค่าทุจริตจริงที่น่าสนใจก็คือตัวเลขที่ออกมาจากปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในคำแถลงวันต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2559 โดยพลเอกประยุทธ์ยอมรับว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบข้าราชการไทยทุจริตมากกว่า 200 คดี มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท รัฐบาลจัดการเด็ดขาดไล่ผู้ทุจริตออกไปแล้ว 8 คน ให้พ้นจากตำแหน่งอีก 25 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างสอบสวน คดีทุจริตต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นมาในอดีตที่ใช้เวลาสืบสวน ไต่สวนมาเป็นระยะเวลายาวนาน
สำนักข่าวอิศรา ผู้เชี่ยวชาญในด้านการเจาะลึกข่าวโกง มองว่าข่าวสารพัดทุจริตที่ผุดขึ้นมาในระยะนี้เป็นสัญญาณบอกแนวโน้มที่ดีของขบวนการต่อต้านการทุจริตในทุกภาคส่วนในประเทศไทยปัจจุบัน ที่สามารถร่วมมือกันขุดคุ้ยเปิดโปงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้รับมาจากประชาชนทั่วไปและจากในหน่วยราชการเองที่สำคัญก็คือเจ้ากระทรวงต่างๆที่เอาจริงเอาจังในการต่อต้านคอร์รัปชันมากขึ้น โดยสำนักข่าวอิศรา ได้ยกตัวอย่างบทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ขึ้นมากล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการในขณะนี้ กำลังร้อนแรงคึกคักในเรื่องการตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เห็นความพยายามในการแต่งตั้งบุคคลขึ้นมารับผิดชอบการตรวจสอบปัญหาความไม่โปร่งใสเรื่องต่างๆ ทยอยเปิดตัวให้เห็นอย่างต่อเนื่อง บางเรื่องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นทางการ มีผลสอบภายในที่ทยอยออกมาจากการตรวจสอบของหน่วยตรวจสอบภายในเอง เช่น กรณีทุจริต 88 ล้าน เงินทุนป้องกันการตกเขียวเด็กนักเรียนยากจนในภาคเหนือ เรื่องนี้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายการุณ สกุลประดิษฐ์ รายงานว่าเป็นผลงานของกลุ่มตรวจสอบภายในสำนักงานปลัด ศธ. หลังจากได้ทำการตรวจสอบบัญชีงบประมาณ ประจำปี 2560 ของสำนักงานปลัด ศธ. พบว่ามีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต โดยมีการโอนเงินทุนการศึกษาของนักเรียนในโครงการเข้าบัญชีของบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปี 2551-2561 มาเป็นเวลานับ 10 ปีโดยที่ไม่เคยมีผู้ใหญ่ผู้ใดในกระทรวงรับทราบการทุจริตนี้เลย ทั้งๆ ที่ปลัดกระทรวงฯ ทุกคนที่ผ่านมาเป็นประธานกองทุน นี้เองมาโดยตลอด กรณีนี้เมื่อรัฐมนตรีรับทราบก็ได้ดำเนินสั่งย้ายบุคคลที่เกี่ยวข้อง 2 ราย ให้พ้นหน้าที่ไปแล้ว รายหนึ่งเป็นข้าราชการหญิงระดับสูง ถึงขั้น ซี 8
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของความพยายามดีๆที่ไปอยู่ในมือข้าราชการโกง กองทุนเสมาพัฒนาชีวิตนั้น เป็นโครงการที่ดี เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2542 สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย โดยเป็นกองทุนสำหรับสนับสนุนเด็ก โดยเฉพาะเด็กหญิงทางภาคเหนือที่อยู่ในสภาวะยากลำบากให้มีทุนการศึกษาต่อระดับวิชาชีพ เพื่อป้องกันการถูกล่อลวงไปในทางไม่เหมาะสม หรือที่เรียกว่าการตกเขียว โดยใช้เงินจากการออกสลากกินแบ่งการกุศลงวดพิเศษ รวมทั้งเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน เงินบริจาคและเงินดอกผลของกองทุน การบริหารกองทุน มีคณะกรรมการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต และมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานตลอด 10 ปี ของการทุจริต น่าประหลาดใจว่าทำไมจึงไม่มีปลัดกระทรวงคนใดรับทราบ รับผิดชอบมาก่อนเลย
ในกระทรวงศึกษาฯยังมีอีกเรื่อง ที่ทุกคนเห็นอยู่ เป็นเรื่องทุจริตหมักหมมนับ 10 ปี คือ อาคารอควาเรียมหอยสังข์ มูลค่า 1,200 ล้านบาท ถูกทิ้งไว้ก่อสร้างไม่เสร็จ ชื่อโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อำเภอเมืองสงขลา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ถูกชาวบ้านร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใสอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่า โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2554 ในวงเงินประมาณ 800 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้ การดำเนินการโครงการกลับยังไม่เสร็จ ทั้งยังมีรายงานใช้งบประมาณไปแล้วไม่น้อยกว่า 1,200 ล้านบาท แต่ได้มาเพียงแค่อาคารร้าง
10 ปีถึงวันนี้จึงจะได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นขณะนี้มี พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนแก้ปัญหาทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ มาทำหน้าที่เป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว พบแล้วในเบื้องต้นว่า มีการแก้ไขสัญญาที่เป็นสาระสำคัญหลายเรื่องอาทิ การขอเปลี่ยนแบบ การขอเปลี่ยนงวดงาน ถึง 6 ครั้ง ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ ในระหว่างปี 2550-2557
อีกเรื่องตกค้างมานาน คือเรื่องที่กระทรวงศึกษาฯ จ่ายเงิน 3,000 ล้านบาทค่าอินเตอร์เนตทั่วประเทศ มานาน 15 ปีให้กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือเดิมองค์การโทรศัพท์ กระทรวงศึกษาฯ จ่ายเงินมาตลอดโดยไม่มีสัญญาเพราะเห็นเป็นองค์การของรัฐตั้งแต่ปี 2545 ในโครงการใหญ่ใช้ชื่อว่า MOENet โดยจ่ายในราคาแพงกว่าบริการของเอกชน อีกทั้ง สัญญาณก็คุณภาพต่ำด้วย ปัญหาอยู่ที่คณะกรรมการตรวจการจ้างชุดต่างๆที่ผ่านมา ทำหน้าที่แค่ไปตรวจสอบข้อมูลจากบนหน้ากระดาษที่มีการรายงานผลเท่านั้น ไม่ได้มีการไปตรวจสอบประสิทธิภาพของการใช้งานจริง น่าสงสารเด็กๆนักเรียนในโรงเรียนของกระทรวงที่ไม่ได้ใช้เนตที่คุณภาพดี ตามมูลค่าเงินมหาศาลที่รัฐบาลจ่ายเงินไปให้ ที่สำคัญคือที่ไม่มีผู้ใดสนใจเงินที่จ่ายไป ปล่อยมา 15 ปี เรื่องนี้เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 ท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯก็ได้สั่งยกเลิกโครงข่าย MOENet นี้ไปแล้ว
การทุจริตในกระทรวงศึกษาฯ ยังมีอีกเป็นจุดเล็กๆไปทั่วทุกองคาพยพ ไม่เว้นทุจริตจัดพิมพ์ตำราที่ไร้คุณภาพ จัดซื้อหนังสือและอุปกรณ์การศึกษาราคาแพงเอามาเก็บวางทิ้ง แต่ที่ทำกันเป็นขบวนการใหญ่และทำมายาวนานที่สุด โดยไม่มีรัฐบาลไหนสามารถแตะต้องแก้ไขได้ คือ คุรุสภา นักการเมืองบางยุครู้ปัญหาคุรุสภา แต่แทนที่จะแก้ไขกลับไปขอเอี่ยวส่วนแบ่งด้วยเสียอีก ขบวนการทุจริตจึงยิ่งเติบใหญ่มีอำนาจและอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงสมัยที่พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีศึกษาธิการใน ครม.ชุดแรกของ คสช. ได้ใช้อำนาจเด็ดขาดคือ มาตรา 44 สั่งยุบคณะกรรมการคุรุสภา แต่ก็เอาไม่อยู่อนุกรรมการต่างๆของคุรุสภาประกาศว่ายังจะทำงานต่อไป จนต้องใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 อีกถึง 19 คำสั่ง จึงเกิดผล
การได้เห็นข้อมูลการทุจริต ในกระทรวงศึกษาธิการหลายกรณีเริ่มผุดขึ้นมาหลังหลบอยู่ได้เงียบเชียบมานาน 10-15 ปี มาเปิดเผยได้ในยุคนี้ ก็พอจะเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว ที่สำคัญจะเห็นได้ว่าการต่อต้านการทุจริตจะสำเร็จหรือไม่ ต้องมีปัจจัยประกอบคือ รัฐมนตรีที่เก่งและไม่ทุจริต และจะต้องได้ทำงานควบคู่ไปกับปลัดกระทรวงฯซึ่งเป็นข้าราชการประจำที่ไม่ทุจริตและไม่เก็บปิดบังข้อมูลใดๆ ด้วย
จึงต้องคอยลุ้นกันต่อว่าประชาชนคนไทย จะได้รัฐบาลที่จะเข้ามาจากการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นรัฐบาลที่ไม่ทุจริต หรือไม่?
เป็นที่น่ายินดีว่า คนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ จากเดิมที่บอกว่าจะเลือกรัฐบาลจะโกงหรือไม่โกงไม่สำคัญ ขอแค่ให้ทำงานเยอะๆ และตัวเองได้ประโยชน์ด้วยก็พอแล้ว มาเป็นว่า ต้องการพรรคการเมืองที่มี คุณธรรม ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งส่วนเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ทำเพื่อส่วนรวม พัฒนาประเทศ นั้นมาเป็นอันดับสอง ผลสำรวจนี้ได้มาจากทั่วประเทศ ล่าสุดเมื่อ 10 มีนาคม 2561 ของ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ประเทศไทยยังมีความหวังครับ ขอให้เราได้พรรคการเมืองที่ดีนักการเมืองที่ดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง เหมือนอย่างผลที่สำรวจออกมาขอให้เป็นจริงตามความปรารถนาใหม่ของคนไทยครั้งนี้ เทอญ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี