วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
หมูเถื่อน กำนันนก จีนสีเทา และข่าวอาชญากรรมต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานั้น มีปัจจัยหนึ่งที่คาบเกี่ยวกันคือ ตำรวจ เพียงแต่แทนที่จะเกี่ยวข้องในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อความสงบสุขของประชาชน กลับไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ที่อาจจะมีส่วนร่วมในอาชญากรรมเหล่านั้นด้วย ช่างเป็นความน่าตลกร้ายของสังคมไทยอย่างมาก
นอกเหนือจากการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม คุ้มครองความปลอดภัย เป็นที่พึ่งด้านความเป็นธรรมทางกฎหมายให้กับประชาชนคนไทยแล้ว การให้บริการของตำรวจยังส่งผลต่อชาวต่างชาติอีกด้วย สะท้อนมาในภาพของปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศ ที่มีความแปรผันตรงกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการให้บริการของตำรวจอย่างมาก
ดังนั้นที่เราอาจจะเคยได้ยินข่าวว่า รัฐบาลจะจัดให้มีตำรวจจีนมาเดินตรวจร่วมกับตำรวจไทยตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งแม้ว่าต่อมาทางการไทยได้แก้ข่าวไปแล้วว่าเป็นข่าวปลอม ก็สะท้อนให้เห็นความไม่ไว้วางใจของนักท่องเที่ยวจีนต่อตำรวจไทย ตามที่เห็นการพูดคุยในโซเชียลมีเดียว่า เมืองไทยไม่น่ามาแล้วเพราะประเทศไทยไม่ปลอดภัย ตำรวจเป็นที่พึ่งไม่ได้
เรื่องการปฏิรูปตำรวจจึงสำคัญมาก ถ้าทำเรื่องนี้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็ขับเคลื่อนต่อไปได้ไม่ถึงไหน ปัญหาปากท้องประชาชนที่ตั้งใจจะแก้ ก็คงแก้ไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีเรื่องราวตำรวจรีดไถ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเป็นตัวบ่อนทำลายเศรษฐกิจไปอย่างน่าเสียดาย
ตัวช่วยเรื่องการปฏิรูปตำรวจนี้อย่างหนึ่งคือ การที่ปัญหาการทุจริตในวงการตำรวจนั้น ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลก จึงน่าจะเป็นประโยชน์ที่เราจะศึกษาความสำเร็จและความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหานี้จากประเทศอื่นๆ ด้วย
ในหนังสือ “Police Corruption and Police Reforms in Developing Societies” โดย Kempe Ronald Hope ที่ได้รีวิววิธีการต่อสู้กับการทุจริตในตำรวจใน 8 รัฐ ทั่วโลก ทั้งในแอฟริกา, ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และลาตินอเมริกาและแคริบเบียนรวมถึงฮ่องกง โดยสรุปเป็นวิธีการต่างๆ มากมายในการปฏิรูปองค์กร ทั้งการตั้งหลักสูตรการฝึกอบรม การนำกำหนดระเบียบจริยธรรม การปฏิรูปการสรรหาและการเลื่อนตำแหน่ง และการเพิ่มค่าจ้างเพื่อสร้างตำรวจมืออาชีพที่มีความซื่อสัตย์ ซึ่งสำเร็จแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบปัญหาของแต่ละพื้นที่
ยกตัวอย่างประเทศเคนยา ที่มีปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจ จึงได้ใช้วิธีปฏิรูปองค์กรทั้งหมด ในขณะที่ในหมู่เกาะโซโลมอน ที่มีปัญหาการซื้อขายตำแหน่งเป็นปัญหาใหญ่ จึงเลือกที่จะใช้กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติและความสามารถของคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บังคับบัญชาการระดับสูงก่อน
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากความพยายามปฏิรูปตำรวจในประเทศทต่างๆ เหล่านี้ ที่ดูเหมือนจะสร้างความเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ก็ยังไม่มากเพียงพอ ดูได้จากที่ ริชาร์ด เมสสิก เขียนสรุปสถานการณ์ปัจจุบันของการปฏิรูปตำรวจในหลายๆ พื้นที่ไว้ใน Global Anti-Corruption Blog ว่า
อาร์เจนตินา: “แม้จะผ่านการปฏิรูปตำรวจครั้งสำคัญล่าสุดในปี 2010 แต่ผลสำรวจและการประเมินด้านคอร์รัปชันของตำรวจก็ยังคงตกต่ำ”
แคเมอรูน: “การทุจริตเป็นองค์ประกอบที่เกิดขึ้นซ้ำและยืนยาวในการตำรวจ... ไม่สามารถมองเป็นเหตุการณ์ที่แยกออกมาได้ เพราะมันฝังลึกและเป็นระบบ”
กานา : “การปฏิรูปที่เกิดขึ้น ไม่ได้ลดลงการทุจริตในวงการตำรวจกานาเลย... มีความไม่พอใจของประชาชนที่แพร่หลายต่อการดำเนินงานของตำรวจ”
อินเดีย: “การทุจริตของตำรวจมีอยู่อย่างแพร่หลายในอินเดีย...ตำรวจทำงานโดยมีการตรวจสอบและตรวจสอบน้อย”
เคนยา: “แม้จะมีการสถาปนาสถาบันตำรวจใหม่ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงการให้บริการของตำรวจและการปฏิรูปต่างๆ นั้น การทุจริตของตำรวจยังคงเกิดขึ้นในกิจวัตรประจำวันของตำรวจเคนยา...”
หมู่เกาะโซโลมอน: “กองกำลังตำรวจยังใหม่อยู่มากกับการสอบสวนการทุจริต”
แอฟริกาใต้: “แม้จะมีการปฏิรูปหลังอพาร์ไธด์ ยังมีหลักฐานการทุจริตในตำรวจระดับสูงที่เพิ่มขึ้นอยู่”
ตรินิแดดและโตเบโก: “แม้จะมีความพยายามปฏิรูปตำรวจมากมายในช่วงหลังยุคอาณานิคม ตำรวจยังคงถูกมองว่าเป็นคนรุนแรง ทุจริต ไม่มีความสามารถ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง”
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การปฏิรูปตำรวจนั้น ไม่ได้สูตรสำเร็จและไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ https://globalanticorruptionblog.com/2015/11/20/the-challenge-of-police-reform-in-developing-nations/
ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ แมทธิว สตีเฟนสัน แห่งฮาร์วาร์ดมีข้อสังเกตว่า ที่ตำรวจในหลายๆ ประเทศมีปัญหาเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันมาก นั่นเป็นเพราะตำรวจมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกันทั่วโลก ได้แก่
1. การมีความภักดีภายในต่อกัน “มากเกินไป”: แม้ว่าความรักใคร่กลมเกลียวและภักดีต่อกัน จะเป็นคุณสมบัติที่ดี ทำให้องค์กรดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่ถ้ามีมากเกินไป อาจจะทำให้ความสำคัญของความภักดีนี้ เหนือกว่าเป้าหมายที่แท้จริงขององค์กร ซึ่งคือการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเกิดการแบ่งแยกระหว่างคนภายในและภายนอกกลุ่มอย่างชัดเจน เช่น ตำรวจไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน เพราะเป็นพวกเดียวกัน แต่กับประชาชนที่เป็นคนนอก จะฆ่า จะฟ้อง หรือจะขายก็ทำได้
2. การใช้วลี “หน้างานจริง” เป็นข้อแก้ตัว: หนึ่งในกลไกทางจิตวิทยาที่คนโกงมักใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการทำความผิด โดยตัวเองไม่รู้สึกผิดคือ คือการอ้างว่าตัวเองเป็น “นักปฏิบัติหน้างานจริง” ไม่ใช่แค่ “นักทฤษฎี” เช่น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะจับโจรด้วยวิธีตามตำรา เพราะ “หน้างานจริง” มันต้องรุนแรงแบบนี้หรือต้องรับสินบนเพื่อเอาเงินไปทำให้งานสำเร็จ ซึ่งอาจเป็นจริงในบางกรณี แต่หากปล่อยให้สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจขั้นตอน กฎ ระเบียบแล้ว การทุจริตที่ใหญ่ขึ้นก็จะตามมาได้อย่างรวดเร็ว
3. การไม่บังคับใช้ระเบียบจริยธรรมจริง: หลายองค์กรมีระเบียบจริยธรรมเขียนไว้อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ รวมถึงตำรวจในหลายๆ ประเทศ ที่มองเป้าหมายปลายทางสำคัญที่สุด เช่น จับโจรให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันแล้วถ้าเรื่องไหนแดงขึ้นมา ก็ค่อยปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับองค์กรอย่าเหมารวม คนโกงเป็นแค่ปลาเน่าตัวนึงเท่านั้น
4. วัฒนธรรมยอมรับทุจริตขององค์กร: เมื่อลักษณะทั้ง 3 ประการในข้างต้นเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะค่อยๆ สะสมจนกลายเป็นวัฒนธรรมทุจริตขององค์กร และองค์กรที่ทุจริตก็มักดึงดูดคนที่ทุจริตเข้ามาร่วม เกิดเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะแก้ไข อย่างที่เกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่
ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ https://global-anticorruptionblog.com/2020/06/09/are-there-common-features-of-dysfunctional-organizational-cultures-corruption-and-police-brutality/
ทีนี้ เมื่อเรารู้แบบนี้แล้ว ทำอะไรได้บ้าง จึงขอยกตัวอย่างข้อเสนอการปฏิรูปองค์กรตำรวจของไนจีเรีย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ว่า เป็นแนวทางข้อเสนอที่มีความครอบคลุม ได้แก่
1. การควบคุมความซื่อสัตย์อย่างเข้มงวด: มีการตรวจสอบการใช้งานอุปกรณ์และวัสดุ ความถูกต้องของรายงานตำรวจ และการชำระเงินค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่แต่ละคนนอกจากนี้ ยังควรมีการปฏิรูประบบการประเมินผลโดยประชาชน เพื่อเน้นย้ำความซื่อสัตย์และความเป็นมืออาชีพ
2. ความเป็นอิสระ: ตำรวจไนจีเรียต้องมีความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยตัวแทนจากพรรคการเมืองหลักทุกพรรค เพื่อเลือกผู้ตรวจการและผู้บัญชาการตำรวจ ซึ่งจะช่วยให้แน่ใจว่าผู้นำของกองกำลังตำรวจได้รับการตรวจสอบอย่างเพียงพอ
3. การปฏิรูปความโปร่งใส: การพัฒนาเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถให้คะแนนและรายงานเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เช่นเดียวกับการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจจับการทุจริต
4. การปฏิรูปเงินเดือน: การเพิ่มเงินเดือนของตำรวจเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจการปฏิรูป เพื่อลดแรงจูงใจในการทำผิดและเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติตามมาตรฐานด้วยความซื่อสัตย์
สุดท้ายก็ขอกลับมาย้ำอีกทีว่า ไม่ว่ารัฐบาลอยากจะแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนก่อน อยากจะสร้าง Soft Power ก่อน อยากจะแก้ปัญหาหนี้สินภาคการเกษตรก่อน หรืออยากกระตุ้นการท่องเที่ยวก่อน ก็จะประสบความสำเร็จได้ยาก หากไม่แก้ปัญหาคอร์รัปชันไปด้วย และจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ก็คือวงการตำรวจนี่ล่ะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค

ส่งสัญญาณ'ยอม' ลายจุดอ่านเกม จันทร์ส่องหล้าสู่บ้านพระอาทิตย์
ดึงสนธิไปเป็นฝ่าย ปชต. 'ก่อแก้ว' แจงเหตุอวยพรวันเกิด
ยิปซีพยากรณ์ดวงรายวัน ประจำวันเสาร์ 8 พฤศจิกายน 2568
คอลัมนิสต์คนสนิท'สนธิ'แจง เปิดบ้านพระอาทิตย์รับแกนนำเพื่อไทยส่งดอกไม้อวยพรจาก'อุ๊งอิ๊งค์'เป็นมารยาททางสังคม
'ปชป.'ปลุกพลังคนรุ่นใหม่! 'ภัคเมศฐ์' หนุ่มมหาชัย ไฟแรง เสนอตัวลง สส.สมุทรสาคร เขต 1

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี