สังคมไทยพูดเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันมานานหลายทศวรรษ เรามีการปลูกฝังคุณธรรมในหลักสูตรการเรียน การอบรมข้าราชการก่อนเข้ารับตำแหน่ง และการจัดกิจกรรมรณรงค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คำถามคือ เหตุใด “ความดี” เหล่านี้จึงยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการโกงในระบบราชการ การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศได้จริง
นี่คือคำถามที่ได้รับการตอบจากมุมมองแบบ “วิทยาศาสตร์” อย่างน่าทึ่งในการบรรยายหัวข้อ “TheScience of Corruption and Anti-Corruption” โดย Professor Robert Gillanders ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก Dublin City University และผู้อำนวยการร่วมของ DCU Anti-Corruption Research Centre ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยความร่วมมือระหว่าง ศูนย์วิทยาการอาชญากรรม และ ศูนย์ความรู้เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน (KRAC)
Gillanders ไม่พูดถึงศีลธรรมในฐานะคำสอน แต่พูดถึง พฤติกรรมมนุษย์ ในฐานะสิ่งที่สามารถเข้าใจและเปลี่ยนแปลงได้ ผ่านการเก็บข้อมูล การตั้งสมมุติฐาน การทดสอบ และการวัดผล เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์
เขาเสนอว่า เราต้องเลิกคิดว่าคนโกงเพราะ “ไม่มีจริยธรรม” และเริ่มคิดว่า คนโกงเพราะ “ระบบเปิดช่องให้โกงได้ง่าย และคุ้มค่าที่จะเสี่ยง” ตัวอย่างจากอินโดนีเซียแสดงให้เห็นว่า เพียงแค่เพิ่มความถี่ของการสุ่มตรวจโครงการก่อสร้างในระดับท้องถิ่น การทุจริตสามารถลดลงได้ถึง 8% โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่หรืออบรมจริยธรรมเพิ่ม เช่นเดียวกับในโรมาเนีย ที่การติดตั้งกล้องในห้องสอบสามารถลดการโกงได้ในระดับประเทศ
ในทางเศรษฐศาสตร์ การคอร์รัปชันถูกวิเคราะห์ผ่านโมเดลที่เรียบง่ายที่จับต้องได้จริง นั่นคือ มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผล ที่ตัดสินใจบนพื้นฐานของ “ผลได้” กับ “ความเสี่ยงที่จะถูกจับได้” ดังนั้นหากเราต้องการลดการทุจริต ไม่ใช่เพียงต้องบอกว่า “อย่าทำ”แต่ต้อง “ทำให้ไม่คุ้มที่จะทำ” ด้วยการออกแบบระบบที่ลดผลประโยชน์จากการโกง และเพิ่มโอกาสในการถูกลงโทษ
ในประเทศไทย เรามักกล่าวโทษ “จริยธรรมของคน”ทุกครั้งที่เกิดคดีคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ หรือผู้บริหารที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน การตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้มักวนกลับไปที่การจัด “อบรมจริยธรรม” ให้บุคลากรในองค์กร แต่สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือ เราไม่มีระบบที่ติดตามผลหลังการอบรมเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ไม่รู้ว่าผู้เข้าร่วมอบรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือทัศนคติหรือไม่ และไม่มีการออกแบบตัวชี้วัดเชิงพฤติกรรมที่สามารถสะท้อนผลกระทบได้จริง
ในหลายหน่วยงาน การอบรมกลายเป็นเพียง “พิธีกรรมเชิงระบบ” ที่ทำซ้ำปีแล้วปีเล่า เพื่อให้ผ่านเกณฑ์การประเมินภายใน โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่า เนื้อหาและวิธีการที่ใช้สอดคล้องกับบริบทหรือแรงจูงใจของผู้เข้าอบรมหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ไม่มีการเก็บข้อมูลก่อน-หลัง หรือวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (control group) ตามหลักวิธีวิทยาของการประเมินผลสมัยใหม่ (impact evaluation) ที่นานาชาติใช้กันอย่างแพร่หลาย
ตรงกันข้ามกับวิธีการแบบเดิม ข้อมูลเชิงประจักษ์กำลังกลายเป็นหัวใจของการต่อต้านคอร์รัปชันยุคใหม่ไม่ใช่แค่ในประเทศตะวันตก แต่รวมถึงในประเทศไทยด้วย ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ โครงการ “ACT Ai” ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐหลายสิบล้านรายการ เพื่อตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติและนำเสนอข้อมูลต่อสาธารณะให้สามารถตรวจสอบกันเองได้ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่า “นี่คือสิ่งไม่ดี” เพราะข้อมูลมันพูดได้ด้วยตัวเอง
ข้อมูลที่ ACT Ai สร้างขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยภาคประชาชนและสื่อมวลชนใช้ตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนว่า หน่วยงานใดมีความเสี่ยงเชิงระบบและควรได้รับการสนับสนุนในเชิงนโยบายอย่างไร เช่น อาจต้องปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบภายใน หรือออกแบบคู่มือจัดซื้อจัดจ้างที่ลดช่องโหว่ลง
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์เช่นนี้ ยังอาจนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีก เช่น นำไปใช้ประเมินผลนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่มีอยู่ หากหน่วยงานใดจัดอบรมจริยธรรมปีละ 3 ครั้ง แต่ยังคงพบ “ความเสี่ยงเชิงพฤติกรรม” แบบเดิมปรากฏอย่างต่อเนื่องในข้อมูลจัดซื้อ ก็อาจต้องตั้งคำถามว่า กิจกรรมที่ทำอยู่ส่งผลจริงหรือไม่ หรือควรปรับเปลี่ยนแนวทางให้ตอบโจทย์พฤติกรรมมนุษย์มากขึ้น เช่น การใช้การเรียนรู้แบบ peer-based หรือการสื่อสารแบบ behavioural nudging แทนการบรรยายทางเดียว
Gillanders ยังชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางสังคม (social norms) คืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญ การศึกษาที่โด่งดังชิ้นหนึ่งพบว่า นักการทูตจากประเทศที่มีระดับคอร์รัปชันสูงมีแนวโน้มจะฝ่าฝืนกฎจราจรในนิวยอร์กสูงกว่าประเทศอื่นอย่างมาก ทั้งที่ไม่มีบทลงโทษใดๆ พฤติกรรมนี้ไม่ได้สะท้อนนิสัยเฉพาะบุคคล แต่สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่คนเหล่านั้นเติบโตมา หากสังคมรอบตัวทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษ การทำผิดก็กลายเป็น“เรื่องธรรมดา” นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า “กับดักความชอบธรรม” (legitimacy trap) ซึ่งเมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจต่อรัฐลดลง ประชาชนก็ยิ่งไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าหน้าที่รัฐก็ยิ่งไร้อำนาจ และคอร์รัปชันก็ยิ่งลุกลาม
ท้ายที่สุด Gillanders ฝากข้อคิดไว้ว่า หากเขาได้บริหารงานต่อต้านคอร์รัปชันในไอร์แลนด์เพียงหนึ่งวันสิ่งที่เขาจะทำคือเพิ่มงบสำหรับการสอบสวนคดีทุจริตลงทุนในระบบการฝึกอบรม และเปิดสอนวิชาความซื่อสัตย์ตั้งแต่ในโรงเรียนประถม นี่ไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่คือสิ่งที่มี “หลักฐานเชิงประจักษ์” รองรับแล้วจากหลากหลายประเทศ
ประเทศไทยจะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร? เราคงต้องเริ่มจากการยอมรับว่า “ความดี” เพียงอย่างเดียวไม่พอเราต้องออกแบบระบบที่ทำให้ “ความดี” นั้นมีแรงจูงใจมีการเสริมพฤติกรรมในทางที่ถูกต้อง และมีข้อมูลชัดเจนรองรับ ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องทดลอง วัดผล และแก้ไขซ้ำจนกว่าจะได้ผล
หากเราเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ในการรักษาโรคระบาดหรือสร้างนวัตกรรมอื่นๆ ได้ การหยิบ “วิทยาศาสตร์”มาใช้กับปัญหาคอร์รัปชันก็ควรได้รับโอกาสเดียวกัน
รศ.ดร.ต่อตระกูล - รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี