เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเดินหน้า การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อปราบปรามคอร์รัปชัน อย่างจริงจัง หนังสือดังกล่าวชี้ชัดว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดตัดสำคัญ หากรัฐบาลลงมือปฏิรูปอย่างเป็นระบบ ประเทศอาจสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการวางรากฐานสังคมโปร่งใส ยุติธรรม และมีธรรมาภิบาลที่ยั่งยืน
ข้อเสนอของ ACT ครอบคลุมมาตรการเร่งด่วนตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ การปรับปรุงระบบราชการและวงการศาสนา ไปจนถึงการแก้ปัญหาความมั่นคงชายแดนและการเร่งสะสางคดีค้างเก่า ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเรียกร้องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่สังคมไทยรอมานาน หากรัฐบาลหยิบไปปฏิบัติอย่างจริงจังภายใน 100 วันแรกจะเป็นสัญญาณชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์และความตั้งใจจริง
จากข้อเสนอ ACT สู่แผน “100 วันหยุดโกง”
งานวิจัยด้านธรรมาภิบาลและบทเรียนจากหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เอสโตเนีย และอินโดนีเซีย ชี้ว่า 100 วันแรกของรัฐบาลใหม่คือช่วงเวลาทองในการขับเคลื่อนการปฏิรูป เพราะเป็นจังหวะที่ประชาชนยังสนับสนุนสูงสุดและกลุ่มผลประโยชน์เดิมยังไม่ทันตั้งหลัก สำหรับประเทศไทย การออกแบบแพ็กเกจปฏิรูป 100 วันจึงควรเริ่มจากจุดที่สร้างแรงกระเพื่อมได้มากที่สุด
จุดแรกที่รัฐบาลควรเดินหน้าคือ การทบทวนและตัดทอนกฎหมายล้าสมัย หรือที่เรียกว่า Regulatory Guillotine ประเทศไทยมีกฎหมายหลักเกือบ 1,400 ฉบับ และกฎหมายลำดับรองอีกกว่า 100,000 ฉบับ หลายฉบับซ้ำซ้อน ล้าสมัย และสร้างภาระต่อประชาชนโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญยังเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจดุลยพินิจ ซึ่งเป็นรากของคอร์รัปชัน โครงการ Thailand’s Simple and Smart License (2561–2562) ที่เคยศึกษาและเสนอให้ยกเลิกหรือปรับปรุงกระบวนงานกว่า 700 เรื่อง พบว่าหากได้รับการปรับแก้ตามข้อเสนอจะช่วยลดต้นทุนประชาชนและภาคธุรกิจไม่น้อยกว่า 75,000 ล้านบาทต่อปี โดยประสบการณ์ของเกาหลีใต้และโครเอเชียยืนยันว่าหากทำอย่างจริงจัง โครงการนี้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างรัฐให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใสขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เมื่อกฎหมายล้าสมัยถูกตัดทอนออกไปแล้วขั้นต่อมาคือ การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอย่างโปร่งใสตั้งแต่ต้นทาง ผ่านนโยบาย Open-by-Default โดยเฉพาะข้อมูลสัญญารัฐ งบประมาณและผลการดำเนินงาน ควรใช้มาตรฐานสากลอย่าง Open Contracting Data Standard (OCDS) ซึ่งธนาคารโลกสนับสนุนให้หลายประเทศใช้สำเร็จมาแล้ว ตัวอย่างจากยูเครนและโคลอมเบียชี้ว่าการเปิดเผยข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้สื่อและประชาชนสามารถตรวจสอบราคา เงื่อนไขสัญญา และความคืบหน้าโครงการได้อย่างละเอียด ลดการฮั้วประมูลและการบวกราคาโดยไม่จำเป็นอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ภาคก่อสร้างถือเป็นจุดเสี่ยงสูงสุดของการทุจริตภาครัฐ การบังคับใช้ Integrity Pact และConstruction Sector Transparency Initiative (CoST)จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่จะปิดช่องโกงในโครงการขนาดใหญ่ การบังคับให้ผู้รับเหมาทุกรายต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการและผลตรวจรับต่อสาธารณะ พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญอิสระและภาคประชาชนร่วมตรวจสอบ จะช่วยสร้างแรงกดดันเชิงระบบ ตัวอย่างจากอินโดนีเซียและปารากวัยแสดงให้เห็นแล้วว่ามาตรการเหล่านี้สามารถลดต้นทุนโครงการและเพิ่มความเชื่อมั่นของสาธารณะได้จริง
ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ คอร์รัปชันไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในประเทศ การซุกซ่อนทรัพย์สินผ่านบริษัทนอมินีหรือต่างประเทศกลายเป็นเรื่องปกติ การสร้างฐานข้อมูล Politically Exposed Persons (PEPs) และ BeneficialOwnership (BO) ตามมาตรฐาน FATF และ Open Ownership จะปิดช่องโหว่นี้ลง กรณีเอสโตเนียเป็นตัวอย่างสำคัญ เพราะการเปิดข้อมูล BO เชื่อมกับทะเบียนธุรกิจและข้อมูลภาษีช่วยให้รัฐบาลติดตามเส้นทางการเงินผิดกฎหมายและการฟอกเงินได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
สุดท้าย การรณรงค์สาธารณะเพื่อต่อต้านคอร์รัปชันต้องใช้ หลักฐานเชิงข้อมูล ไม่ใช่เพียงคำขวัญทางการเมือง งานวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์เตือนว่า การรณรงค์ที่ทำให้ประชาชนเห็นคอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติอาจสร้างผลลัพธ์เชิงลบมากกว่าบวก รัฐบาลจึงควรตั้ง Message Testing Labหรือห้องทดลองสาร เพื่อทดสอบข้อความและสื่อรณรงค์ก่อนเผยแพร่จริง พร้อมรายงานผลลัพธ์ด้วยตัวเลขที่ตรวจสอบได้ เช่น จำนวนโครงการที่เปิดเผยข้อมูลหรือวงเงินที่ประหยัดได้จากการป้องกันการทุจริต
100 วันแรก : จุดเปลี่ยนจากคำสัญญาสู่ระบบจริง
เมื่อขับเคลื่อน Regulatory Guillotine นโยบาย Open Data การบังคับใช้ Integrity Pact และ CoST การสร้างฐานข้อมูล PEPs และ BO รวมถึงการสื่อสารเชิงหลักฐาน ภายใน 100วันแรก รัฐบาลจะสามารถเปลี่ยนผ่านจาก คำสัญญา สู่ ระบบจริง ที่ทำให้โกงยาก ตรวจสอบง่าย และเสี่ยงสูงต่อผู้กระทำผิด บทเรียนจากเกาหลีใต้ เอสโตเนีย และอินโดนีเซียยืนยันว่า หากรัฐบาลใช้ช่วงเวลา 100 วันแรกอย่างจริงจัง ความโปร่งใสและความเชื่อมั่นของประชาชนจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลายเป็นรากฐานสำคัญของการปฏิรูปเชิงลึกในระยะยาว
ประเทศไทยจึงยังมีความหวังที่จะทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็นเรื่องจริงที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงความเพ้อฝันหรือถ้อยคำสวยหรูอย่างในอดีต สิ่งสำคัญที่สุดคือ เจตจำนงทางการเมืองซึ่งเราหวังว่าจะได้รับจากรัฐบาลปัจจุบัน หรือจากรัฐบาลใหม่ที่จะมาหลังการเลือกตั้งในอีก 4-6 เดือนข้างหน้า เพื่อให้การปฏิรูปครั้งนี้กลายเป็นความจริงที่ประชาชนทั้งประเทศสามารถสัมผัสได้เสียที
รศ.ดร.ต่อตระกูล - รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี