ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยกำลังตกเป็นข่าวใหญ่อยู่ในขณะนี้หลังจากความประพฤติของพระภิกษุสงฆ์ในระดับรองสมเด็จ หรือว่าชั้น “พรหม” รวม 3 รูป คือพระพรหมดิลก, พระพรหมสิทธิและพระพรหมเมธีที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริตที่เรียกกันว่าคดีเงินทอนวัดซึ่งว่ากันว่าเป็นการร่วมมือกันทุจริตระหว่างคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ชั้นรองสมเด็จทั้ง 3 รูป กับข้าราชการพลเรือนระดับผู้บริหารสูงสุดในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)
มีกระแสเรียกร้องจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั่วประเทศให้คณะสงฆ์ไทยทำการผ่าตัดและปฏิรูป ระบบการปกครองคณะสงฆ์เสียใหม่ทั้งหมดก่อนที่ความเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนารูปแบบสยามวงศ์ ซึ่งเป็นหินยานของไทยจะล่มสลายไปเพราะวงการสงฆ์ไทยไม่มีวิวัฒนาการที่ทันกับโลกใหม่ในยุคดิจิทัล ตามปูมประวัติของคณะกรรมการมหาเถรสมาคมของไทยนั้น ได้รูปแบบการบริหารงานคณะสงฆ์มาจากระบบของลังกาวงศ์จากประเทศศรีลังกา
คณะผู้บริหารสูงสุดของคณะสงฆ์และสามเณรไทยทั้ง 300,000 กว่ารูป นั้นมีคณะกรรมการมหาเถรสมาคมทำหน้าที่ดูแล โดยมี พศ.ทำหน้าที่สนับสนุนด้านงบประมาณและด้านธุรการ โดยพศ.ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งกำกับดูแลงานของพศ.ซึ่งคนปัจจุบัน คือ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ส่วนข้าราชการประจำที่ดูแลงานของพศ.คือ พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการ พศ.
รูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ไทยนั้นมีสมเด็จพระสังฆราชฯเป็นประมุขสูงสุด รองลงมาคือคณะกรรมการมหาเถรสมาคมรวม 20 รูป ซึ่งรวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชฯ ใน 20 รูป จะแบ่งเป็นฝ่ายธรรมยุตินิกาย 10 รูป ฝ่ายมหานิกาย 10 รูป ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายจะมีชั้นสมเด็จฝั่งละ 4 รูป รวม 8 รูป ที่เหลืออีก 9 รูป จะเป็นชั้นพรหมหรือรองสมเด็จแบ่งเป็นชั้นพรหมของธรรมยุต 4 รูป ชั้นพรหมของมหานิกาย 5 รูป ส่วนอีก 2 รูป เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม 2 รูป ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
จากคณะกรรมการมหาเถรสมาคมทั้ง 20 รูป ลงมาจะมีตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่รองลงมาคือเจ้าคณะภาค ซึ่ง
เจ้าคณะใหญ่กับเจ้าคณะภาคมักจะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย รองลงมาอีกคือเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งจะเป็นพระราชาคณะชั้นพรหม หรือชั้นธรรมที่อยู่ในคณะกรรมการมหาเถรสมาคมด้วยก็ได้ถ้าเป็นจังหวัดใหญ่ เช่น กทม. รองลงไปอีกคือเจ้าคณะอำเภอมาถึงเจ้าคณะตำบลแล้วก็เจ้าอาวาสที่ปกครองวัดและพระอารามต่างๆ
ตำแหน่งของคณะสงฆ์ไทยตามปกติจะมีสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานจากองค์พระมหากษัตริย์จะพระราชทานสมณศักดิ์และตำแหน่งพัดยศตามพรรษาที่ครองสมณเพศหรือตามอาวุโสและบางครั้งอาวุโสก็ไม่สำคัญๆ ที่ความรู้ทางธรรมและความสามารถในการบริหารวัดและคณะสงฆ์ซึ่งสงฆ์ไทยจะมีชั้นยศ หรือสมณศักดิ์มากถึง 18 ชั้น
สูงสุดคือสมเด็จพระสังฆราชฯ 1 รูป รองลงมาคือชั้นสมเด็จ 8 รูป ชั้นรองสมเด็จหรือว่าชั้นพรหมอีก 9 รูป และมาถึงชั้นธรรมทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายรวม 50 รูป พระราชาคณะชั้นเทพรวม 100 รูป ทั้ง 2 นิกาย พระราชาคณะชั้นราช 210 รูป ทั้ง 2 นิกาย พระราชาคณะชั้นสามัญอีก 510 รูป ต่อลงมาคือพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี โท เอก พิเศษอีกไม่จำกัดจำนวนจะมีประมาณ 3,000 รูป พระครูฐานานุกรมไม่จำกัดจำนวนมีประมาณ 5,000 รูปขึ้นไป หรือมากกว่านั้นพระครูป ระทวนสมณศักดิ์มีไม่จำกัดจำนวนอาจจะมีหลายหมื่นรูปสุดท้ายคือพระเปรียญธรรมซึ่งมีหลายหมื่นรูป จากการสอบ
การบริหารงานของพระสงฆ์ไทยนั้นกระทำตามอำนาจที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 การ
ตราพระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดจากความต้องการของรัฐบาลในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มุ่ง
เปลี่ยนรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ให้สอดคล้องกับนโยบายการปกครองประเทศของจอมพลสฤษดิ์เป็นหลัก
กล่าวโดยสรุปคืออำนาจการจัดการบริหารทั้งหมดอยู่ที่คณะกรรมการมหาเถรสมาคมทั้ง 20 รูป นั่นเองปัญหาการทุจริตต่างๆที่เกิดขึ้นจึงมาอยู่ที่พระสงฆ์ที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 20 รูป นี่เอง อำนาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคม ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 18 มีความว่า มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ปกครองคณะ สงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย เพื่อการนี้ให้มีอำนาจตรากฎมหาเถรสมาคมออกข้อบังคับวางระเบียบหรือออกคำสั่งโดยไม่ขัดหรือ แย้งกับกฎหมายและพระธรรมวินัยใช้บังคับได้
จะเห็นว่าอำนาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมตามมาตรานี้มีความหมายกว้างขวางมากหากมีคณะกรรมการรูปใดไปกระทำผิดการตรวจสอบทำได้ยากแม้จะได้มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) ปี2525 แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติต่างๆ แต่อำนาจก็ยังอยู่ที่พระมหาเถระทั้งมวลอยู่นั่นเอง
น่าจะถึงเวลาที่รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งดำเนินการผ่าตัดและปฏิรูป ระบบการ
ปกครองคณะสงฆ์ของไทยที่เรียกกันว่าสยามวงศ์เสียใหม่ให้มีความทันสมัยเพื่อให้การปกครองสงฆ์ไทย มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมรวมถึงป้องกันปัญหาการทุจริตภายในคณะสงฆ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี