กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ไม่มีอะไรไว้วางใจได้เท่าไหร่ เมื่อวานซืนหุ้นไทยก็ร่วงกระหน่ำ มีหลายตัวเลขเศรษฐกิจของคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐ ที่ไม่สู้ดี การไม่ต่อเรื่องของ LTF ในปี 2562 ประกอบกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนระดับฐานรากค่อนข้างย่ำแย่ จนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยน้อยลงแบบมีนัยสำคัญมาก ตอกย้ำเศรษฐกิจปากท้องประชาชนที่เงินสะพัดน้อย นักท่องเที่ยวไม่เข้าก็พาลจะแย่ไปยิ่งกว่าเดิมอีก
วันนี้เราจะมาดูกันในส่วนของการเงิน การลงทุนกันบ้าง ปัจจัยส่วนใหญ่ที่พุ่งมากระทบไทยเราล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ บทความของเราในวันนี้ จะเป็นการขยายความบทสรุปของคุณวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหารบลจ.บัวหลวง จำกัด ที่ได้กรุณาเล่าเอาไว้ในเฟซบุ๊คส่วนตัวก่อนหน้านี้เอาไว้
เกิดอะไรขึ้นกับ “หุ้นร่วงทั้งโลก” เอายังไงดี !?
สถานการณ์ลงทุนหุ้น “ในระยะสั้น” ช่วงนี้ ถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การที่ FED จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นต่อเนื่อง จนผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ ขึ้นไปอยู่ในระดับเกินกว่า 3% แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ความกังวลเรื่องสงครามการค้า ราคาน้ำมัน
เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐ สูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนทั่วโลกเลยแห่กันนำเงินออกจากตลาดหุ้นต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตร แล้วนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติของการลงทุน ... มาแล้วก็ไป ... ไปแล้วก็มา
ที่น่าจับตาและไม่เป็นข่าวคืออัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านของสหรัฐ หรือ US housing loan fix rate30 ปี ที่เคยเป็น 3.5% ในปี 2016 นั้น ตอนนี้ขึ้นมาแตะ5% เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี และมีทีท่าว่าจะขึ้นต่อ
เมื่อเป็นแบบนี้ คนจะกู้ซื้อบ้านก็จะถอย เพราะระดับ 5% เป็น emotional level ที่ทำให้คนจะกู้เกิดกลัวว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นไปอีกจนผ่อนไม่ไหว เลยไม่กู้ทำให้มีผลต่อ US housing market ซึ่งสำคัญมากๆ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ที่สนุกสนานต่อเนื่องก็คือ ลุงไดโน ทรัมป์ (เป็นไดโนเสาร์ตัวสุดท้ายที่รอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้) แกทวิตด่าผู้ว่าการ FED ว่าเป็นตัวการทำให้หุ้นร่วง จากนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ย FED … ทำให้ผู้ว่าการแบงก์ชาติประเทศอื่นๆออกมาโต้แย้ง … แต่ผู้ว่าการ ธปท. ดร.วิรไท โชคดี ที่ยังไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย และนายกฯ ลุงตู่ก็ยังยุ่งกับการเดินสายโดยมิได้หาเสียง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย จะขึ้นในปีนี้ไหม
คุณวรวรรณบอกว่า หลายค่ายมองว่าขึ้นปีนี้แน่บางค่ายบอกว่ายัง แต่การจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้พี่มองว่าไม่ง่าย เพราะเงินเฟ้ออาจจะไม่มาอย่างที่คาดคิดกัน เนื่องจากรายได้ต่อหัวภาคเกษตรลดลง ข้าวกำลังออกใหม่ให้เก็บเกี่ยวได้ในไตรมาสสุดท้ายนี้ ราคาย่อมลดลง นอกจากนี้ รายได้ภาคอุตสาหกรรมต่อหัวก็น้อยลง ที่สำคัญคือโอทีลด … โอทีนี่สำคัญสำหรับมองว่าภาคการผลิตไปได้ดีไหม เพราะหากนายจ้างกำลังขยายการผลิต อย่างแรกไม่ใช่จ้างคนเพิ่ม แต่จะเป็นการให้คนงานทำงานล่วงเวลา
ดังนั้น เงินเฟ้อในระดับที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้จึงน่าจะเกิดยาก
แต่เศรษฐกิจไทยยังดี ไม่ใช่หรือ ?
ก็ใช่ ... GDP เราขยายตัวจริง แต่มันกระจุกตัว โดยท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึงกว่า 20% ซึ่งส่วนนี้มาจากจีนมากเราจึงต้องไม่มีเรื่องกับจีน ... ห้ามมี ห้ามด่า ห้ามเถียง เพราะเรายังพึ่งเขามาก
เจ้าหน้าที่รัฐที่ชอบตบทรัพย์นักท่องเที่ยวจีนนั้น เอาไปกุดหัวซะ ไม่ต้องแคร์แอมเนสซะตี้ เพราะพวกนี้ไม่ได้ช่วยปากท้องของคนไทยแต่อย่างใดเลย
คนจีนแบกเงิน แบกรายได้ แบกความสะพัดทางเศรษฐกิจมาให้ทั่วหัวระแหงแบบนี้ อยากจะขอย้ำเลยครับว่า เจอเจ้าหน้าที่รัฐเรียกเก็บส่วยตอนคนจีนเข้ามาทำ Visa on arrival คนไหน สั่งพักงานไล่ออกให้หมดกระบวนการโกงของข้าราชการเสียที
คนจีนนี่ขยายความเพิ่มเติมคือ อาจจะล้งเล้งไปมากแต่ว่าความจริงแล้วน่ารักและพร้อมปฏิบัติตามกฎ ต้องอย่าลืมว่า เขาโตกันมาในสภาพสังคมแบบกฎหมายแข็งมากๆ เขาพร้อมจะเชื่อฟังทางการอยู่แล้ว
และเรื่องพื้นฐานทางการเงินของประเทศยังเข้มแข็งจนบาทถูกมองว่าเป็น Safe Haven นั้นก็เป็นเรื่องจริงตามที่ผู้ว่า ธปท. กับ รองนายกฯให้สัมภาษณ์...อันนี้ของจริง ไม่ได้โม้
แล้วหุ้นไทยจะเป็นยังไง
มองด้านอารมณ์ผู้ลงทุน มันก็เป็นอย่างที่เห็น มีขึ้น มีลง มีทรง มีทรุด
มองด้านเหตุผล ...ตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีระดับอัตราปันผล 2.9% แต่ Y+US bond yield ให้ผลตอบแทนเกิน 3% เงินร้อนของต่างชาติจึงไหลออกจากหุ้นไทยและที่อื่นๆ กลับไปลงทุนใน US Bond
แต่มีอีกเรื่องคือ กองทุนไทยเข้าตลาดหุ้นไทยเยอะในกลางเดือน กันยายนที่ผ่านมาที่ระดับดัชนีประมาณนี้ ดังนั้น ตอนนี้จึงน่าจะทยอยลงทุนได้
จะมองถูกหรือผิด ไม่รู้ ไม่รับรอง แต่เงินลงทุนของตนเองใน Provident Fund ที่เคยเอาออกจากหุ้นมาอยู่Money Market Fund ทั้งหมดนั้น พี่ได้ทยอยเอาไปอยู่ในหุ้นไทยบ้างแล้ว รวมถึงการลงทุนใน LTF ก็สั่งซื้อไปแล้ว
ความเสี่ยงที่ต้องจับตา
ไม่ใช่ตลาดหุ้น แต่เป็นตลาดพันธบัตรไทย เพราะเงินต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทยที่มีมากเป็นประวัติการณ์ (จะเพราะมองว่าบาทเป็น Safe Haven) ซึ่งถ้าถอนออกเมื่อไหร่ก็คงปั่นป่วนไม่น้อย
ส่วนระยะยาว ประมาณอีก 4 ปี คือปี 2022 ต้องระวังหนี้ภาครัฐจากโครงสร้างพื้นฐาน ไม่รู้ว่าโปรเจกชั่นกระแสเงินสดของรัฐบาลที่ควรมีในวันนี้ มองเห็นว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะเป็นตัวแดงหรือไม่
ขอให้ใช้สติและมีโชคในการลงทุน
ขอบคุณพี่ตู่วรวรรณมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ ที่อธิบายเรื่องที่หลายคนเวลาอ่านเนื้อหารายละเอียดการวิเคราะห์เรื่องการเงินการลงทุนแล้วจะมีความสับสนงงงวยมากยิ่งกว่าเดิม คุณวรวรรณเป็นคนหนึ่งที่ อธิบายการเงินการลงทุนในภาษาชาวบ้านได้มีอรรถรสเป็นอย่างมาก
ภาพรวมของประเทศเราในทางเศรษฐกิจไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงไม่ได้จะมีวิกฤติ ไม่ได้ฐานะการคลังย่ำแย่ ไม่ได้มีหนี้ล้นพ้นตัวจนเอาไม่อยู่ อย่างที่หลายฝ่ายโจมตี เพื่อดิสเครดิตในทางการเมืองต่อรัฐบาลไทย
และที่สำคัญความคึกคักทั้งหลายจะกลับมาในไม่ช้านี้ช่วงเลือกตั้งอย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี