“ถนนเมืองไทยอันตรายราวกับสนามรบ” คำกล่าวนี้ยังคงหลอกหลอนสังคมไทย แม้ องค์การอนามัยโลก(WHO) จะเปิดเผยผลจัดอันดับประเทศที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนครั้งล่าสุดเมื่อเดือน ธ.ค. 2561 ซึ่งไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตบนท้องถนนอยู่ที่ 32.7 คนต่อประชากรแสนคน อยู่ในอันดับ 9 ของโลก ถือว่าสถิติลดลงมาจาก ในปี 2558 ครั้งนั้นไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตบนท้องถนนอยู่ที่ 36.2 คนต่อประชากรแสนคน อยู่ในอันดับ 2 ของโลก
อย่างไรก็ตาม “ข่าวร้าย” ยังคงมี นั่นคือ “คนไทยเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์สูงที่สุดในโลก” ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะมอเตอร์ไซค์คือพาหนะหลักของคนไทย ดังข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ระบุว่านับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติรถจดทะเบียนสะสมตั้งแต่ปี 2532-สิ้นปี 2561 พบมีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนสะสมทั้งสิ้น 20.8 ล้านคัน และหากดูเฉพาะตลอดปี 2561 เพียงปีเดียว พบมีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนใหม่ราว 1.9 ล้านคัน
ด้วยความที่ “ไทยเป็นประเทศของคนหาเช้ากินค่ำ” จึงไม่ต้องแปลกใจที่มอเตอร์ไซค์จะได้รับความนิยม “ด้วยความที่ระบบขนส่งมวลชนไม่สะดวกโดยเฉพาะตั้งแต่ย่านชานเมืองหลวงไปจนถึงจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ แต่รถยนต์ 4 ล้อ ก็มีราคาแพงเกินรายได้ มอเตอร์ไซค์จึงตอบโจทย์ความจำเป็นได้เป็นอย่างดี” เมื่อประกอบกับ “ภาวะเร่งรีบ” หลายครอบครัวตื่นเช้ามาพ่อแม่ก็ให้ลูกซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่โรงเรียน และถ้าเด็กเริ่มโตตัวสูงสักหน่อยก็เริ่มให้หัดขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนด้วยตนเอง เด็กไทยจึงใช้ชีวิตบนความเสี่ยงไปโดยปริยาย
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวในงานเสวนา “ความปลอดภัยในการโดยสารรถจักรยานยนต์ : สิทธิลูกหลานไทยที่ต้องคุ้มครอง” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าในปี 2559 “คนไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉลี่ย 10 คน/วัน” โดยร้อยละ 80 มาจากการไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารมอเตอร์ไซค์
และหากเป็น “กลุ่มเด็กเล็ก” ก็ยิ่งน่าห่วง เพราะพบว่า “เด็กเล็กที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของผู้ปกครองก็มีสถิติการสวมหมวกนิรภัยที่ต่ำมากเพียงร้อยละ 7” ซึ่งการเสียชีวิตของเด็กและเยาวชนจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ เพราะการขับขี่ไม่ปลอดภัย หรือการไม่ใส่หมวกกันน็อกให้เด็ก ไม่ใช่เพียงภาระหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองในการคุ้มครองบุตรหลาน แต่หน้าที่ที่หน่วยงานของรัฐต้องร่วมรับผิดชอบและให้ความคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายของเด็ก แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นว่ามีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง
ขณะที่ รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า “อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการเสียชีวิตในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 10 ปี” รองจากการจมน้ำ และหากเจาะจงไปที่ “กลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 10-18 ปี อุบัติเหตุทางถนนจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1”
คุณหมออดิศักดิ์ย้ำว่า ประเทศไทยมี “พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 (2)” ที่ระบุว่า “ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดจงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตหรือการรักษาพยาบาลของเด็กที่อยู่ในความดูแลของตนจนน่าเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก” และเนื่องจากการเสียชีวิตของเยาวชนของชาติย่อมสร้างผลกระทบในระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศ “รัฐบาลจึงต้องมีนโยบายและการลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่เพียงพอและปลอดภัย” เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยไม่ต้องเสี่ยงภัยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน
เช่นเดียวกับ สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ อดีตผู้แทนกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายในเด็ก “นอกจากการไม่เคารพกฎจราจรของผู้ขับขี่แล้ว อีกด้านหนึ่งคือการขาดการวางแผนการเดินทางที่เหมาะสมสำหรับเด็ก” ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง แต่รวมถึงสถาบันการศึกษา ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ซึ่งหากดูตัวอย่างในต่างประเทศพบว่า “บางประเทศไม่ยอมให้เด็กโดยสารมอเตอร์ไซค์ แต่มีการวางแผนให้เด็กเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนด้วยระบบรถโรงเรียนที่ปลอดภัย” ดังนั้นการคุ้มครองเด็กให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะการโดยสารมอเตอร์ไซค์ จึงไม่ควรใช้เพียงมาตรการทางกฎหมาย แต่ยังต้องใช้มาตรการเชิงบริหารด้วย อันเป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกันหลายฝ่าย ทั้ง อปท. กระทรวงศึกษาธิการ ไปจนถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในมุมหนึ่ง “ประเทศไทยแม้มีกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ก็เป็นกฎหมายที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง” เนื่องด้วยต้องยอมรับ “ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนสามารถแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชนให้ดีขึ้นได้ในระดับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” ประชาชนจึงต้องดิ้นรนเสี่ยงชีวิตกันเอง ขณะที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้างาน เข้าใจบริบทสังคมก็ดูจะพลอยเห็นใจชาวบ้าน ถ้าการขับขี่หรือโดยสารไม่อันตรายจนเกินไปก็มักอะลุ้มอล่วยเสมอมา
ก่อนหน้านี้ในเดือนพ.ค. 2561 อรทัย จุลสุวรรณรักษ์ผู้จัดการมูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย (AIP) ประจำประเทศไทย กล่าวในเวทีเสวนา “นโยบายการจัดการมาตรฐานและความปลอดภัยสำหรับรถรับ-ส่งนักเรียน” ว่าทางออกคือต้อง “ปลดล็อก” ให้ อปท. สามารถใช้งบประมาณเพื่อพัฒนารถโรงเรียนที่ปลอดภัย ซึ่ง อปท. หลายแห่งอย่างทำอยู่แล้วแต่ไม่กล้าเพราะกลัวผิดระเบียบราชการว่าด้วยการใช้งบประมาณ
พร้อมกับย้ำว่า “หากทำให้รถโรงเรียนสะดวกและปลอดภัยในราคาที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ ในระยะยาวปัญหาเด็กขี่มอเตอร์ไซค์ก่อนวัยอันควรก็จะลดลงด้วย”ซึ่งหลังจากงานเสวนาไม่นานนัก ทาง AIP ได้ไปยื่นหนังสือขอให้ปลดล็อกเรื่องดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และต่อมาก็ได้ทราบว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) มีแนวคิดทบทวน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดการรถรับ-ส่งนักเรียนเป็นหน้าที่หนึ่งในการจัดการศึกษา
ไม่แน่ใจว่าขณะนี้เรื่องไปถึงขั้นไหนแล้ว? ถ้ายังไม่แล้วเสร็จก็ขอให้รีบหน่อยเถิด ถือเป็น “ของขวัญวันเด็ก” ประจำปี 2562 นี้ก็ได้ เพื่อให้เด็กไทยไม่ต้องเจ็บ-ตาย-พิการก่อนวัยอันควร!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี