“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล แม้จะมีกรอบเวลาเพียงแค่ 4 เดือนตาม“MOA”ที่ไปลงนามกับพรรคประชาชน เพื่อเติมเต็มเสียงโหวตให้มีจำนวนเกินกว่ากึ่งหนึ่ง แต่ก็เป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาด้วยความชอบธรรม และเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
อาจจะเป็นโชคดีอันเป็นบุญวาสนาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ในชีวิตหนึ่งเมื่อเข้ามาสู่แวดวงการเมืองแล้ว ก็สามารถเดินขึ้นถึงจุดสุดยอดในฐานะนายกรัฐมนตรีอันเป็นตำแหน่งที่นักการเมืองทุกคน ซึ่งเมื่อได้เข้ามาอยู่ในวงจรอำนาจนี้แล้ว ต่างก็วาดหวังที่จะก้าวไปให้ถึง แต่นั่นก็อยู่ที่ว่าใครจะมีโอกาสมากกว่ากัน
ทั้งนี้ ในช่วง 20 กว่าปีมานี้ ใครที่เป็นวงศ์วานว่านเครือของ“ตระกูลชินวัตร” และใครที่อยู่ในแวดวงการเมืองและยอมทอดตัวรับใช้“ทักษิณ ชินวัตร”อย่างไม่มีข้อแม้ โอกาสก็มีมากกว่าใครคนอื่น แต่สุดท้ายทุกคนต้องมีอันเป็นไปในทางที่จบแบบ“ศพไม่สวย”
ไม่เพียงแต่“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งเป็นผู้สถาปนา“ระบอบทักษิณ”เท่านั้น ที่เวลานี้ต้องกลายเป็นนักโทษถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม จากคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือง ยังรวมไปถึง“สมัคร สุนทรเวช”, “สมชายวงศ์สวัสดิ์”, “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”, “เศรษฐา ทวีสิน” และ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะกระทำผิดฐานละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และมีมลทินติดตัวไปจนชั่วชีวิตเหมือนกันทุกคน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ถือว่าโชคดีกว่านายกรัฐมนตรีขึ้นมาโดย“ระบอบทักษิณ” แม้จะถูกมองว่ามีนายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองบ้านใหญ่แห่งบุรีรัมย์ เป็นเงาทาบอยู่ก็ตาม แต่ความเป็นอิสระในการทำงานตลอดจนการตัดสินใจต่างๆ ก็ยังมีบุคลิกเฉพาะตนของนายอนุทิน ไม่ได้อ้ำอึ้งๆ เอ้อๆ อ้าๆ เหมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของ“ทักษิณ”
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม จังหวะและเวลาในการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการเป็นผู้นำรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองและ“ก๊กการเมือง” แม้จะเป็น“รัฐบาลชั่วคราว”มีกรอบเวลาอันจำกัดแค่ 4 เดือน แต่ก็ต้องแบกรับภาระซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทิ้งไว้ในทุกเรื่องและแต่ละเรื่องล้วนเป็นปัญหาที่เป็นวิกฤตของประเทศโดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหา“ไทย-กัมพูชา”
วิกฤตเศรษฐกิจนั้นเกิดจากโครงสร้างทั้งระบบอันเนื่องมาจากปัจจัยภายในและภายนอก ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 4 การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่น่าจะมาถูกทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปไกลถึงแผนงานการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่เรียกร้องต้องการในลักษณะกดดันและคาดคั้นจากรัฐบาลของนายอนุทิน ขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤตรอดตัวไปแบบลอยนวล
อีกปัญหาหนึ่งกรณี“ไทย-กัมพูชา” ทั้งเรื่องการรุกล้ำอธิปไตยของไทยเกี่ยวกับเขตแดน และเรื่องสแกมเมอร์ ที่อีนุงตุงนังแบบฝุ่นตลบกันอยู่ในเวลานี้นั้น ก็กลายเป็นราวกับว่ารัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นผู้ก่อปัญหาให้เกิดขึ้น
จะเห็นว่า แม้แต่การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ของนายวรภัค ธันยาวงษ์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา จากข่าวอื้อฉาวว่ามีส่วนพัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงิน และธุรกิจผิดกฎหมายในกัมพูชา ทั้งที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเก้าอี้ยังไม่ทันร้อน โดยที่การชิงลาออกของนายวรภัคครั้งนี้ ก็เพื่อไม่ให้ลามไปถึงนายอนุทินและรัฐบาลทั้งคณะ แต่ถึงกระนั้นนายอนุทินก็ยังไม่วายถูกแซะในฐานะที่เป็นผู้แต่งตั้งนายวรภัค
หากพิจารณาความเป็นจริง ปัญหา“สแกมเมอร์”นั้น เกิดขึ้นอยู่แล้วก่อนที่จะมีรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นก็ยังเป็นเพียงแค่ข่าว ไม่มีคดีความแต่อย่างใด อีกทั้งนายวรภัค ธันยาวงษ์ ก็ยังได้ปฏิเสธและยืนยันว่าถูกใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ พร้อมทั้งยังได้แถลงว่า การลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็เพื่อต้องการให้มีความเป็นอิสระในการตรวจสอบ โดยที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี
หากย้อนไปดูที่มาที่ไปของนายวรภัค ธันยาวงษ์ ซึ่งก่อนหน้าที่จะได้รับการทาบทามจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวรภัคมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของนายพิชัย ชุณหวชิร เมื่อครั้งที่นายพิชัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล“แพทองธาร ชินวัตร” และก็เป็นช่วงที่“รัฐบาลแพทองธาร”ประกาศอย่างขึงขังว่าจะปราบปราม“สแกมเมอร์” ดังนั้น จึงมีคำถามว่า นายพิชัยตั้งนายวรภัคเป็นที่ปรึกษาได้อย่างไร
แต่อย่างว่า การเมืองก็คือการเมือง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และในกรณีของนายวรภัค ธันยาวงษ์ ไม่เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ถูกกระแสการเมืองเล่นงาน ภรรยาของนายวรภัคก็ยังถูกลากโยงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกคนหนึ่ง โดยถูกแฉว่ามีการรับผลประโยชน์“คริปโตสกุล Tether” ซึ่งจะจริงเท็จอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่คู่กรณีทั้งผู้กล่าวหาที่มีตัวตนชัดเจน และผู้ถูกกล่าวหาคือนายวรภัคและภรรยา จะต้องไปว่ากันในศาลหลังจากนี้
ปัญหาเขมรจากเรื่อง“สแกมเมอร์”ที่ทำให้นายวรภัค ธันยาวงษ์ ต้องไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไปแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องข้อพิพาท“ไทย-กัมพูชา”ที่ยังยันกันอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าจากการประชุม“GBC”หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป“ไทย-กัมพูชา” สมัยพิเศษที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมเมื่อวานนี้จะเสร็จสิ้น โดย พล.อ.ณัฐพล
นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย จะแถลงว่าผลการประชุมจะมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยฝ่ายไทยได้ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชา ยึดถือปฏิบัติในประเด็นเดิมก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงแค่การโน้มน้าว ส่วนจะปฏิบัติตามหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
โดยประเด็นเดิมตามที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์กล่าวนั้น มีอยู่ 4 หัวข้อ คือ 1.การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง 2.การเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 3.การปราบปรามขบวนการ Cyber Scam หรือ“สแกมเมอร์” และ 4.การจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว คือบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว
สรุปจากคำแถลงของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งแม้จะบอกว่า“มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ” แต่ พล.อ.ณัฐพล ก็ยังเรียกร้องขอให้กัมพูชาแสดงความจริงใจในการปฏิบัติตามผลการประชุม“GBC”
จึงขอทิ้งท้ายไว้บรรทัดนี้ว่า-จนถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะถามหาความจริงใจจากเขมรชาติอสรพิษอยู่อีกหรือ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี