พรุ่งนี้วันที่ 22 ตุลาคม ครบกำหนดการขอขยายเวลา 30 วันของสำนักงานอัยการสูงสุด ในการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 และคดีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา
ต้องจับตาดูว่า สำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์ซึ่งประชาชนคนไทยไม่ค่อยไว้วางใจในการทำหน้าที่ทนายของแผ่นดินมาโดยตลอดนั้น จะยื่นหรือไม่ยื่น หลังจากขอเลื่อนมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครบกำหนด 30 ในวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว
คดีนี้ อัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง“ทักษิณ ชินวัตร”เมื่อปี 2567 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ โดยกล่าวหาจำเลยคือ“ทักษิณ” จากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 อันมีลักษณะพาดพิงสถาบัน
ทั้งนี้ จากคำพิพากษาตัดสินของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ได้ระบุว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า ข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้อง ว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 นั้น ว่า
“ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนการดูหมิ่นต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว”
นอกจากนั้นศาลฯยังชี้อีกว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่
ศาลฯชั้นต้นได้พิเคราะห์ในประเด็นนี้ไว้อย่างนี้ “เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย มิได้ใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สาม โดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า “องคมนตรี”, “ทหาร”, “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย”
ศาลฯได้สรุปว่า “พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ”
สรุปก็คือ ศาลฯพิจารณาเห็นว่า ผู้ที่ได้รับฟังคลิปเสียงวีดีโอ ล้วนเข้าใจตรงกันว่า จำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือสื่อความหมายถึงสถาบันฯ ว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร จึงรับฟังไม่ได้ และได้พิพากษายกฟ้องทั้งหมดตามที่ยกมานั้นศาลฯก็ได้พิพากษายกฟ้อง ทั้งในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ
หากย้อนกลับไปดู หลังจากวันที่ 22 สิงหาคม 2568 แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องทำให้“ทักษิณ ชินวัตร”รอดคุก แต่ถัดจากนั้นมาอีก 18 วัน “ทักษิณ”ก็ไม่รอดคุก เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งบังคับโทษให้“ทักษิณ”กลับเข้าไปติดคุกอีกครั้งเป็นเวลา 1 ปี โดยศาลฯพิจารณาเห็นว่าการบังคับโทษจำคุกจำเลย คือ“ทักษิณ”ไม่ชอบด้วยกฎหมายจากการที่ไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งได้รับการพักโทษ โดยไม่เคยติดคุกอยู่ในเรือนจำ
เมื่อวานวันที่ 20 ตุลาคม บุตรสาวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร คือ “แพทองธาร ชินวัตร” และ“พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์” ได้ไปเยี่ยมบิดาที่เรือนจำกลางคลองเปรม โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคมสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาในทางนิตินัยของ“ทักษิณ”ก็เพิ่งจะเข้าไปเยี่ยมสามีทางพฤตินัย และขากลับออกมาคุณหญิงพจมานได้กล่าวกับสื่อที่หน้าเรือนจำเพียงสั้นๆ ว่า“ทักษิณ”ยังคงดูดี แต่ก็มีไม่สบายเล็กน้อย
ส่วนการเยี่ยม“ทักษิณ ชินวัตร”ของบุตรสาวสองคนเมื่อวานนี้ “แพทองธาร ชินวัตร” ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากใช้เวลาเยี่ยมบิดาประมาณ 55 นาทีว่า “เพิ่งกลับจากต่างประเทศ ไม่ได้มาเจอคุณพ่อหลายวัน ตอนนี้คุณพ่อก็นับวันบอกกับลูกๆ ว่า อยู่มาครบ 6 อาทิตย์พอดี ทั้งนี้ คุณพ่อก็อยู่อย่างเรื่อยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่มีอาการเครียดบ้างและนอนไม่หลับบ้าง ส่วนอาการนิ้วชาของคุณพ่อนั้นดีขึ้นแล้ว”
อย่างไรก็ดี พรุ่งนี้ 22 ตุลาคมดูกันต่อ ว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เวลานับถอยหลังของ“ทักษิณ ชินวัตร”กระชั้นเข้ามาทุกที และถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจาก “ฮุนเซน”ศัตรูตัวฉกาจของชาติไทย ซึ่งก็มีชะตากรรมเดียวกัน เป็นชะตากรรมที่ผีห่าซาตานบันดลให้เกิดขึ้น
นอกจาก“ทักษิณ ชินวัตร”จะต้องมีประวัติว่าเป็น“ขี้คุก”แล้ว พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฐานและที่มาแห่งอำนาจเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เพิ่งจะแพ้การเลือกตั้งซ่อมเขต 4 ที่จังหวัดกาญจนบุรี ให้แก่พรรคภูมิใจไทย และเวลานี้พรรคเพื่อไทยก็ตกอยู่ในสภาพที่เลือดไหลไม่หยุด อันจะมีผลต่อการเลือกตั้งในต้นปีหน้ากับจำนวน สส.ที่จะลดลง ขณะที่“ฮุนเซน”เพื่อนรัก“หักเหลี่ยม”ก็กำลังถูกนานาอารยประเทศรุมกินโต๊ะ เพราะความชั่วช้าสามานย์ที่ใช้ประเทศกัมพูชาเป็นศูนย์กลางแห่งอาชญากรรมทุกรูปแบบ
บาปกรรมนั้นมีจริง-จวนเจียนใกล้วันอวสานของ“ตระกูลชิน” กับ“ตระกูลฮุน”เต็มทน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี