บอกแล้วว่า กรณี รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นแค่อาการฝีแตกจุดหนึ่ง
ยังมีอีกหลายโรงพยาบาล ที่มีอาการหนักไม่แพ้กัน
เป็นผลจากการซุกขยะไว้ใต้พรม การบริหารจัดการทางการเงินอย่างไม่รับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ
กำลังนำความเสี่ยงมาสู่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และนำความเสียหายมายังตัวประชาชนผู้รับบริการในที่สุด
1. สปสช.จัดสรรงบลดลง สวนทางภาระงานเพิ่มขึ้น
เมื่อวานนี้ 4 ชมรมองค์กรแพทย์ ได้แก่ ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรมโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป ชมรมโรงพยาบาลสถาบันกรมการแพทย์ และคณะกรรมการโรงพยาบาลในกลุ่ม สถาบันแพทย์แห่งประเทศไทยหรือ ยูฮอสเน็ต (Uhosnet) เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก เรื่อง ขอความเป็นธรรมให้หน่วยบริการภาครัฐ
พร้อมทั้งประสานขอเข้าพบและยื่นหนังสือถึงนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ด สปสช.)
สืบเนื่องจากการบริหารจัดการงบผู้ป่วยในของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีปัญหากระทบต่อสถานการณ์การเงินของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศมาตลอด
ทั้งปัญหาการกำหนดอัตราจ่ายเพียง 8,350 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ ซึ่งต่ำมาก เพียง 63% ของต้นทุน (ต้นทุนที่มีการวิจัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คือ 13,240 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์)
และยังมีการเรียกเงินที่จ่ายไปแล้วคืน ตอนปลายปีงบประมาณ 2 ปีงบประมาณ
ปี 2568 ทางสปสช.ได้ยอมรับในหลักการที่จะคงอัตราจ่ายที่ 8,350 บาท และมีการเสนอของบกลางจากรัฐบาลมาแก้ปัญหางบไม่เพียงพอ เนื่องจากมีผู้มารับบริการมากเกินกว่าที่คาดการณ์
แต่เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ทางสปสช.ได้จัดส่งยอดงบผู้ป่วยในตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2568 ถึง 15 กันยายน 2568 ถึงทุกโรงพยาบาล แต่กลับมีการดำเนินการขัดกับที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ตกลงไว้ทั้งในที่ประชุมทุกคณะ และทั้งในสื่อสาธารณะต่างๆ
โดยมีการคำนวณย้อนกลับ Rerun ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้อัตราจ่ายลดลงเหลือไม่ถึง 7,000 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ ในหลายโรงพยาบาล
และมีการดึงเงินคืนจำนวนมากในทุกโรงพยาบาล
นอกจากนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังมีการนำผลตรวจสอบคุณภาพเวชระเบียนมาขยายผล 33 เท่า เพื่อหักเงินเพิ่มจากโรงพยาบาลอีกด้วย
หน่วยบริการสาธารณสุข จึงขอเรียกร้องต่อท่านให้ช่วยดำเนินการดังต่อไปนี้
-ยกเลิกการนำผลตรวจสอบเวชระเบียนมาขยายผล 33 เท่า เพื่อหักงบผู้ป่วยในของทุกโรงพยาบาล
-ยกเลิกการคำนวณย้อนกลับ Rerun แล้วหักเงินคืนจากโรงพยาบาล โดยกรณีที่งบผู้ป่วยในไม่เพียงพอให้สปสช.บันทึกเป็นลูกหนี้ของโรงพยาบาลแทน เมื่อได้รับงบประมาณเพิ่มเติมให้รีบดำเนินการชำระหนี้ดังกล่าวให้โรงพยาบาลทันที
อนึ่ง การบริหารจัดการงบผู้ป่วยในนั้น ปัจจุบันเป็นการบริหารแบบงบปลายปิดอยู่แล้ว โดยคำนวณจ่ายในอัตราเดียวแบบกลุ่มโรค(DRG) ไม่ว่าโรงพยาบาลจะใช้ยา เทคโนโลยีการรักษามากน้อยเท่าใดก็ตาม จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบริหารงบปลายปิดแบบซ้ำซ้อนอีก
2. การจัดการงบที่กำลังกัดกินระบบประกันสุขภาพ
คำอธิบายที่ให้เห้นภาพปัญหาชัดเจน เข้าใจง่ายที่สุด โดย นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัยรองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา
ล่าสุด นพ.วีระพันธ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีการจัดสรรงบผู้ป่วยในของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ระบุว่า
“ทุกคนเดือดร้อนแล้วครับ!
ไป รพ.ไกลขึ้นมั้ย, ยาลดลงมั้ย, ยาถูกเปลี่ยนรึยัง, การลดการรักษาเกิดขึ้นจริงแล้วนะ,เดือดร้อนกันแล้วนะครับ
สรุปง่ายที่สุด!
สปสช. ทำอะไร? ทำไมโรงพยาบาลโวยวาย และทุกคนจะเดือดร้อน (อ่านแล้วเข้าใจทั้งหมด)
(ทุกคนต้องช่วยกันแชร์เพื่อรักษาสิทธิของเราเพราะท่านและครอบครัวจะเดือดร้อน)
สปสช. เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่บริการอะไรประชาชนนะครับ แต่เป็นหน่วยงานที่รับงบประมาณมาแล้วไปซื้อบริการให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชนไปบริการประชาชน คือเป็นคนกลางจ่ายเงินให้ประชาชนนั่นแหละว่าง่ายๆ ครับ
ทีนี้มีปัญหา คือ คนกลางไม่จ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ให้ รพ.ทั้งประเทศและจ่ายช้า, จะจ่ายเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจเขา, และระหว่างที่รอจ่ายก็จะมีการปรับกฎเกณฑ์วิธีคำนวณการจ่ายเองโดยไม่แจ้ง รพ. ก่อน และสุดท้าย รพ. ก็จะได้เงินไม่ครบตามที่ขึ้นบัญชีรอเงินไว้ ทำให้เป็นเรื่องราวอย่างที่ทุกคนได้ทราบตามข่าว (สปสช. โต้หมอวีระพันธ์ ตัวเลขไม่ตรงกับความเป็นจริง! มันจริงไม่ได้เลยครับเพราะท่านคิดวิธีคำนวณเงินใหม่)
เขาทำยังไง?
ผมยกตัวอย่างกองผู้ป่วยใน IP ก็แล้วกันครับ กองนี้เป็นกองที่มีปัญหามากที่สุดกองหนึ่ง(จริงๆ มีปัญหาเกือบทุกกอง อย่างของ อ.เหรียญทอง ก็โดนอีกแบบหนึ่ง แต่ อ.เล่าไปเยอะแล้ว)
สมมุติตัวเลขง่ายๆ ต้นปีงบประมาณกำหนดว่า หากผู้ป่วยใน admit ด้วยโรคนี้ จะให้ 80 บาท (จริงๆ เขากำหนดเป็นหน่วยที่เรียก AdjRW) บอกจริงๆ ว่า สปสช. ก็เคยให้ข้อมูลกับกรรมาธิการที่ผมเรียกเข้าให้การว่า ต้นทุน คือ 130 บาท (สปสช. ยืนยันว่าเคยวิจัยไว้เอง) ตัวเลขนี้หลายคนคงเริ่มเข้าใจแล้วนะครับว่า ยิ่ง รพ. รักษาคนไข้มากเท่าไหร่ ยิ่งบริหารเงินยากขึ้น เพราะทุกครั้งที่รักษาต้องเอาเงินกองอื่นมาเช่นเงินบำรุง มาจ่ายแทนทันที 130-80 = 50 บาท
ยังครับ ยังไม่จบแค่นั้น...
ต้นปีงบประมาณ สปสช. ยังจ่ายให้ รพ. 80 บาทตามสัญญา สมมุติจ่ายไป 10 เดือนแล้ว พอปลายปีงบประมาณ อุ๊ย เงินตัวเองหมด! ทำยังไงรู้มั้ยครับ? ออกประกาศใหม่ครับว่าเงินของเราเป็น Global budget ตอนนี้เหลือน้อย ขอลดจาก 80 เหลือ 70 ก็แล้วกัน! โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า
หลายคนเริ่มตกใจแล้วใช่มั้ย? เห้ยทำยังงี้ได้เหรอ?
นั่นแหละครับคำถามเดียวกับที่ รพ.ถาม
ยังครับ ยังไม่ peak ใจเย็นๆ คงจะนึกว่า สปสช. จ่าย 70 บาท 2 เดือนหลังสุด คือที่ให้ไป 10 เดือนแรก เดือนละ 80 บาทก็แล้วๆ กันไป แต่ 2 เดือนท้าย ให้ 70 บาทนะ ใช่มั้ยครับ?...
“ไม่ใช่!” ทีจ่าย 80 บาทไป 10 เดือน โดนคิดใหม่ว่าตูก็จะให้แค่ 70 บาทด้วยนะแปลว่า 10 เดือนที่ผ่านมา สปสช. จะเรียกคืน เดือนละ 10 บาท คือคิดเลขง่ายๆ 10 บาท 10 เดือนคืนตูมา 100 บาทก่อน แล้วเดี๋ยวตูจะให้ 70 บาท 2 เดือนหลัง คือ 140 บาทสองเดือนสุดท้าย
หักหนี้จาก 80 x 2 เดือนสุดท้าย 160 บาท เหลือจ่าย 40 บาท (140-100)
WOW มั้ยครับ ฉลาดสุดๆ
ยังครับ ยังไม่พออีก มีการสุ่มตรวจเวชระเบียนอีก หากแพทย์เขียนไม่ครบ เขียนขาด ลายมือไม่สวย(อันนี้ล้อเล่น) หักแต้ม เรียกเงินคืน สมมุติว่าเรียกคืน 80 บาท ตายล่ะ รพ.จากที่เราเป็นเจ้าหนี้ 2 เดือนสุดท้ายได้ 160 บาทแน่ๆ กลายเป็นลูกหนี้ สปสช. 40 บาทไปเฉย อันนี้คิดแค่คนไข้ 1 คนต่อหน่วยนะครับ ถ้าล้านคน คูณล้าน เติมศูนย์ 6 ตัวเข้าไปเลยครับ จากเป็นเจ้าหนี้ 160 ล้าน กลายเป็นลูกหนี้ 40 ล้าน!
ผมร้องไห้ได้มั้ย?
ที่ผมยกตัวเลขง่ายๆ นี้คือ IP กองเดียวนะครับ ยังมี OP, PP, OP refer, fee schedule, point system อะไรที่เตรียมหักไว้อีก เกรงว่าถ้าเล่าหมดอาจมีคนเป็นลมตายก่อนหมอ เก็บไว้เล่าวันหลังก็แล้วกัน
ทีนี้หลายคนก็ถามต่อ แล้วเกี่ยวไรกับตูแค่หน่วยงานรัฐทะเลาะกัน?
รพ. ถือเป็นหน่วยหนึ่งที่บริหารเงินเองนะครับ เป็นของรัฐก็จริง แต่การสั่งซื้อยา เวชภัณฑ์ ซื้อเครื่องมือใหม่ ซ่อมบำรุง จ่ายค่านอกเวลาบุคลากร บลาๆๆ ต้องบริหารเอง ไม่ใช่ส่วนกลางส่งเงินมาจ่ายให้
ปัญหากับบุคลากร :
รพ. จำเป็นต้องดูแลคนไข้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นคนแรกที่ได้รับผลกระทบคือ บุคลากรครับ เขาโดนชะลอจ่ายเงินค่าล่วงเวลา, P4P และเงินที่ควรได้อื่นๆ ตอนแรกชะลอจ่ายถ้า รพ.เงินหมดจริง ผอ. จะขอบุคลากรดื้อๆ เลยครับว่า ขอจ่าย 80% ได้มั้ยถ้ามีเงินเข้า ถ้าไม่มีก็ตัดศูนย์ไป บุคลากรทำงานอย่างหนัก เลี้ยงดูพ่อแม่ มีครอบครัว ก็ขาดเงินส่วนนี้ไป, งดอบรมเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ และอีกมากมาย
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ วันหนึ่งบุคลากรที่เหนื่อยล้า และถึงเวลาได้รับค่าตอบแทนกลับไม่ได้รับ จนถึงจุดที่ทนไม่ไหว เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในหลายๆ ประเทศ คิดภาพ หมอ พยาบาลบุคลากร นัดหยุดงานพร้อมกันเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมนะครับ คนเจ็บไข้ได้ป่วยจะเดือดร้อนขนาดไหน (ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย และคงไม่เกิดขึ้นเพราะบุคลากรของเราใจดี เสียสละมากครับ)
ปัญหากับคนเจ็บไข้ :
หลายท่านอาจโดนแล้ว เนื่องจากเงินหมุนเวียนใช้ใน รพ.ไม่เหลือ ติดลบกันหมดแล้ว
1. รู้สึกมั้ยครับไปรักษาไกลขึ้น เพราะหน่วยบริการหลายแห่งทนแบกภาระไม่ไหว หยุดให้บริการ(โดยเฉพาะใน กทม.) บ้านอยู่หลักสี่ ไปหาหมอสีลม เดินทางคนเดียวมั้ยครับ ไม่ใช่ ลูกหลานพาไป, ถ้าต้อง admit ต้องไปเยี่ยมอีก เดือดร้อนมั้ยครับ?
2. ได้ยาน้อยลง ตอน รพ.มีเงินหมุนเวียน ได้ยาทีละ 3 เดือน ตอนนี้ได้แค่ 1 เดือน หรือบางคนบอกได้แค่ 1 สัปดาห์ก็มี เพราะต้องทยอยมา รพ.ก็กรอบเหมือนกัน
3. ยาหลายอย่างที่เคยได้ ไม่ได้แล้วใช่มั้ยครับ? ยาดีๆ นอกบัญชีที่มี Efficacy สูงกว่ารพ.ไม่มีเงินสั่งให้ท่านแล้วครับ ยกตัวอย่าง ยาโรคกระเพาะ ที่เคยได้ยาดีกลายเป็นยา Local กันเกือบหมดแล้ว (เคยสังเกตกันมั้ย)
4. ประสิทธิภาพการรักษาลดลง อันนี้ละเอียดอ่อนและกระทบคนไข้มาก เอาตัวอย่างสั้นๆเช่น คนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเข้าห้องฉุกเฉิน หมอสวนหัวใจดูแล้ว ตีบ 3 เส้นเลยครับ
แต่... อนิจจา หมอรักษาให้ท่านทั้ง 3 เส้นไม่ได้นะครับ จะเบิกไม่ได้ ต้องตัดสินใจว่าเส้นไหนคือปัญหาครั้งนี้ และรักษาเส้นนั้นก่อน ส่วนอีก 2 เส้น รอท่านเกิดอาการเฉียดตายอีกครั้งถึงจะรักษาแล้วเบิกเงินคืนจาก สปสช. ได้ ถ้าหมอฝืนทำไปโอกาสไม่ได้เงินสูงมากครับ
ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่กระทบสิทธิ์คนไข้อีก แต่วันนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะตกใจป่วยกันหมด
ผมฝากแชร์ความจริงนี้ให้ทุกคนในประเทศได้รู้นะครับว่า อย่ามองเรื่อง สปสช. กับ รพ. เป็นเรื่องไกลตัว เพราะมันใกล้ตัวกับชีวิตของเราเองและญาติของเราเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความปรารถนาดีและห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง” - นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา
3. รัฐบาลชุดนี้ มีอายุสั้น จะแก้ปัญหาได้แค่ไหน?
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัญหา รพ.ขาดสภาพคล่องนั้น เป็นเรื่องที่ตนและปลัดสธ.กำลังดูเพื่อแก้ปัญหา จริงๆ ปัญหาขาดสภาพคล่องมีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งคือ ผู้ป่วยเข้ามามากกว่าจำนวนที่ประมาณการไว้ จึงทำให้หมุนสภาพคล่องไม่เป็นไปตามแผน ซึ่งตนและปลัดสธ. รวมถึง เลขาธิการสปสช. กำลังดูเรื่องนี้ ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งพูดคุยบรรเทาปัญหา ส่วนเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้าง คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ระยะสั้นไม่ต้องกังวล
“ช่วงนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยกัน จึงไม่อยากให้แต่ละฝ่ายไปพูดให้เกิดความบั่นทอนจิตใจระหว่างกัน เพราะจะทำให้ความตั้งใจดีๆ ของพวกเราที่กำลังจะคุยกัน จะทำให้มีข้อจำกัด หรือมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ขอให้รอสักระยะ ไม่นาน จะมีมาตรการต่างๆ มาบรรเทาเรื่องนี้ และให้การดูแลคนป่วยอย่างราบรื่นต่อไป” รมว.สธ.กล่าว
ถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่มีแนวทางแก้ปัญหาเป็นรูปธรรม ก็เป็นเวรกรรมของประเทศไทย
ปัญหามะเร็งร้ายทางการเงินอันเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่รับผิดชอบ จะกัดกินระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าลึกเข้าไปอีก รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แล้วจะล้มตายลงสักวัน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี