ญี่ปุ่นเพิ่งจะได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของญี่ปุ่น ชื่อ“ซานาเอะ ทาคาอิจิ”วัย 64 ปี หัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ“LDP” (Liberal Democratic Party) ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม โดยได้รับความเห็นชอบเสียงข้างมากจากรัฐสภา ทั้งสภาสูงและสภาล่างให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 104 ของญี่ปุ่น
สำหรับบ้านเรานั้นมาก่อนญี่ปุ่น เพราะของเราได้นายกรัฐมนตรีหญิงจาก“ตระกูลชินวัตร”มาแล้ว 2 คน คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กับ “แพทองธาร ชินวัตร”
แต่เมื่อเปรียบเทียบที่มาที่ไปกันแล้ว แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะของญี่ปุ่นแม้จะเพิ่งมีนายกรัฐมนตรีหญิงเป็นครั้งแรก หากแต่การก้าวขึ้นสู่อำนาจบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนางซานาเอะ ทาคาอิจิ ไม่ได้มาโดยเส้นทางลัด เธอเคยเป็น สส.มาแล้ว 10 สมัย นอกจากนั้น ยังเคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและการสื่อสาร
ส่วนบ้านเราไม่ต้องผ่านเส้นทางอะไรมาทั้งสิ้น แต่ขึ้นสู่อำนาจได้เพราะมีนามสกุล“ชินวัตร” และมีพรรคการเมืองเหมือนบริษัทจำกัดของ“ตระกูลชินวัตร”ที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นเจ้าของผู้ก่อตั้งในทางพฤตินัย ดังนั้น“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่เป็นน้องสาว และ“แพทองธาร ชินวัตร”ซึ่งเป็นบุตรสาวของ“ทักษิณ”จึงสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องผ่านการพิสูจน์เกี่ยวกับภาวะความเป็นผู้นำ หรือมีคุณสมบัติพิเศษอะไรมารองรับ ทั้งด้านความรู้ความสามารถและประสบการณ์
ขณะที่นางซานาเอะ ทาคาอิจิ ไม่มีเส้นทางลัดให้ก้าวเดิน ต้องผ่านเส้นทางต่างๆ ด้วยความรู้ความสามารถ ตลอดจนประสบการณ์และความมุ่งมั่นของตนเอง เริ่มจากลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ครั้งแรกปี 2535 ในวัย 33 ปีแต่ด้วยความที่ลงสมัครในฐานะผู้สมัครอิสระ จึงพ่ายแพ้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งหลังจากนั้นอีกหนึ่งปีเธอจึงประสบความสำเร็จ จากการเลือกตั้งในปื 2536 ก่อนจะเข้าร่วมกับพรรค“LDP”ในปี 2539 และก็ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ต่อเนื่องมาถึง 10 สมัย
ในปี 2564 “ทาคาอิจิ”ตัดสินใจลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค“LDP” แต่พ่ายแพ้“ฟูมิโอะ คิชิดะ” ต่อมาในปี 2567 เธอก็ยังไม่สิ้นความพยายามสมัครลงชิงตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งก็พ่ายแพ้“ชิเงรุ อิชิบะ”อีกเช่นเคย ถึงแม้จะได้คะแนนเสียงสูงสุดในรอบแรกก็ตาม แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับ“ชิเงรุ”
และในที่สุด“ซานาเอะ ทาคาอิจิ”ก็ประสบความสำเร็จได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค“LDP”เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 หลังการลาออกของ“ชิเงรุ อิชิบะ” และได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ด้วยมติของสภาผู้แทนราษฎร 237 เสียง และมติของวุฒิสภา 125 เสียง
หันกลับมาดูนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย คือ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ไม่ต้องมีภูมิหลังอะไรเลยก็สามารถก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ได้ เพียงแค่มีนามสกุลชินวัตร และเป็นน้องสาวของ“ทักษิณ ชินวัตร” โดยใช้เวลาเพียงแค่ 49 วันเดินหาเสียง หลังลาออกจากบริษัทใน“กงสี”ของตระกูลชินวัตร และลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย
โดยในวันที่ 5 สิงหาคม 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติ 296 ต่อ 3 เสียง (งดออกเสียง 197ไม่เข้าประชุม 4) ให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”วัย 44 ปี เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงของ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา 265 คน จากจำนวน สส.ทั้งหมด 500 คนและพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ที่ถูกชักใยโดย“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นพี่ชายซึ่งหลบหนีโทษคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศ ด้วยความที่ไร้ความรู้ความสามารถและขาดประสบการณ์ การบริหารราชการแผ่นดินจึงมีแต่ความผิดพลาด ถูกจับผิดแม้กระทั่งการสะกดคำในภาษาไทยที่มักจะอ่านและพูดผิดอยู่ตลอดเวลา หรือแม้แต่การเรียกชื่ออำเภอและจังหวัด
นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยผู้นี้ ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ฐานมีส่วนใช้อำนาจแทรกแซงการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งได้ 2 ปี 9 เดือน 2 วัน
นอกจากนั้นในปี 2560 ก็ยังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา จากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเวลานี้อยู่ระหว่างหลบหนีโทษ ขณะเดียวกันจากคดีทุจริตดังกล่าวนี้ ศาลปกครองสูงสุดก็เพิ่งจะมีคำวินิจฉัยสั่งจึงให้“ยิ่งลักษณ์”ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กระทรวงการคลังจำนวน 10,028,861,880 บาท หรือ1 หมื่นล้านบาทเศษ
นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยจาก“ตระกูลชินวัตร”อีกคนหนึ่ง คือ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทยได้ ด้วยวัยเพียงแค่ 38 ปี ก็เพราะนามสกุลชินวัตร และเป็นบุตรสาวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ส่วนคุณสมบัติอื่นใดต้องถือว่าไม่ผ่าน เพราะว่าไร้ทั้งสติปัญญา และอ่อนด้อยความรู้ความสามารถ ขาดประสบการณ์ ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากเป็นผู้บริหารระดับสูงแต่เพียงในนามของบริษัทกงสีในเครือตระกูลชินวัตร ที่บิดามารดาสร้างไว้ให้เสร็จสรรพแล้ว
และในที่สุดก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ฐานมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณี“คลิปอัปยศ”ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับ“ฮุนเซน”ทรราชแห่งเขมร จากการถูกร้องของ 36 สว. ซึ่งกล่าวโดยสรุปจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวของ“ตะกูลชิน”กับ“ตระกูลฮุน”จึงเห็นประโยชน์ของกัมพูชามากกว่าผลประโยชน์ของประเทศไทย และยังทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ“แพทองธาร”ด้วย
สรุปแล้ว แม้ว่าญี่ปุ่นจะได้นายกรัฐมนตรีหญิงขึ้นมาบริหารประเทศภายหลังประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่เส้นทางทางการเมืองจะแตกต่างไม่เหมือนกันแล้ว ของไทยยังก้าวไปในทางที่ถูกประวัติศาสตร์จารึกไว้ด้วย“รอยมลทิน”ที่มีประวัติด่างพร้อยด้วยทั้ง 2 คน
ล่าสุดเพราะมลทินจาก“คลิปอัปยศ”ของ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่จะส่งผลไปถึงความเป็นโมฆะในการลงนามรับรองผู้สมัคร สส.ของพรรคเพื่อไทย สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น ยังทำให้“แพทองธาร”ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กลับไปเป็น“หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย”ตามเดิม
การเป็น“หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย”ก็ไม่ต่างจากการเป็นทายาทเจ้าของบริษัทจำกัดในกงสี ที่จะต้องรักษา“พรรคเพื่อไทย”ไว้เป็นสมบัติของ“ตระกูลชินวัตร” ต่อไป !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี