รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนายกรัฐมนตรี 2 คน ซึ่งถูกชักใยโดยนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ติดคุกเพราะคดีทุจริตคอร์รัปชั่น และต้องพ้นจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดถอนนั้น “คิดใหญ่แต่ทำไม่เป็น”
ทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน และ“แพทองธารชินวัตร” ที่ต้องกระเด็นตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก่อนครบวาระ เพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) นั้น เข้ามาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า“คิดใหญ่ทำเป็น-เพื่อไทยทุกคน” ภายใต้นโยบาย“เพิ่มรายได้ลดรายจ่าย ขยายโอกาส”
ปรากฏว่า 2 ปี ประเทศชาติบ้านเมืองประสบแต่ความวิบัติฉิบหาย ซึ่งไม่เพียงแต่เศรษฐกิจของประเทศจะดิ่งหัวลงหุบเหวเท่านั้น ปัญหาความมั่นคงของประเทศก็ยังถูกกัมพูชาท้าทายจากการก่อสงครามรุกรานไทย เป็นการลบหลู่เหยียบย่ำและประจานวาทกรรมของ“แพทองธาร ชินวัตร”ที่แหกปากตะโกนหาเสียงว่า ประเทศไทยและประชาชนคนไทยจะ“มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี”
ต่างจาก“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ราวฟ้ากับเหว ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเห็นว่าไม่ต้อง“คิดใหญ่ทำเป็น” แต่ทำในสิ่งที่ควรจะทำก็เกิดผลในทางบวกทันที จากโครงการ“คนละครึ่งพลัส” ที่เพียงแค่วันเดียวมีการแห่ลงทะเบียนครบ 20 ล้านสิทธิ และเมื่อวันที่21 ตุลาคมเมื่อวานนี้ มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มอีก 496,855 สิทธิ อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ลงทะเบียนวันแรกคุณสมบัติไม่ผ่าน
และในปีหน้า“รัฐบาลหนูชั่วคราว”ที่“คิดไม่ใหญ่แต่ลงมือทำเลย” ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่า ช่วงเดือนมกราคมปีหน้า จะมีการขยับขยายจัดทำโครงการ “คนละครึ่งพลัส-เฟส 2” เป็นการให้สิทธิแก่กลุ่มคนที่ลงทะเบียนไม่ทันและตกหล่นในรอบแรกครั้งนี้ โดยในชั้นนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะใช้วงเงินเท่าใด และจะครอบคลุมผู้ใช้สิทธิกี่ราย ต้องมีการประเมินกันก่อน ซึ่งรอบแรกนี้เรียบร้อยไปแล้ว 20 ล้านสิทธิ วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท และทำให้ก่อนสิ้นปีจะมีเงินสะพัดในตลาดเกือบ 1 แสนล้านบาท
เทียบกับโครงการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท”ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแล้ว เห็นผลงานกันชัดเจน และไม่ต้องเสียเบี้ยบ้ายรายทางแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในการทำ“บล็อกเชน” สามารถใช้แอปฯ “เป๋าตัง”ที่มีมาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำสำเร็จมาแล้วจากช่วงเกิด“วิกฤตโควิด”ได้เลย และไม่ต้องคิดมากแบบรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่กลัวจะเสียหน้า เนื่องจากเป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตนเองด้อยค่าและโจมตีเรียกคะแนนหากินอยู่ตลอดเวลา
อีกเรื่องหนึ่ง ปัญหากัมพูชา ถึงแม้“รัฐบาลหนูชั่วคราว”จะกำลังลงมือทำ แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่ทันอกทันใจ ทั้ง “ไทยมุง”และบรรดาผู้คนที่“มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ” ไม่ว่าจะเรื่องสแกมเมอร์ หรือเรื่องการประชุมคณะกรรมการทวิภาคี“ไทย-กัมพูชา”ในระดับต่างๆ
เรื่องการประชุมคณะกรรมการระหว่าง“ไทย-กัมพูชา”ระดับ “GBC” นั้น เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมเมื่อวานนี้ “บิ๊กเล็ก” หรือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นเป้าถูกถล่มและถูกด้อยค่าจากฝ่ายที่ขัดหูขัดตามาตั้งแต่มีชื่อปรากฏว่าจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใน“รัฐบาลหนูชั่วคราว” เนื่องเพราะ พล.อ.ณัฐพล มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดชัดเจนว่า หากประชุม“GBC”ระหว่าง“ไทย-กัมพูชา”ไม่สำเร็จ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ กล่าวถึงการประชุม“GBC” หรือคณะ กรรมการชายแดนทั่วไป“ไทย-กัมพูชา” ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยกับกัมพูชาเป็นประธานร่วม โดยจะมีการประชุม“GBC”สมัยพิเศษที่ประเทศมาเลเซียในวันที่23 ตุลาคมนี้ ว่า เป็นผลต่อเนื่องมาจากการประชุม “GBC”ครั้งก่อนเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ได้ตกลงร่วมกันว่าจะนำ 4 ประเด็นเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมาธิการส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องย้อนกลับมาที่“GBC”อีกครั้ง
4 ประเด็นที่ว่านั้นก็คือ 1.ประเด็นการถอนอาวุธหนัก, 2.ประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด, 3.ประเด็นอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Scam), 4.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน และ 5.ซึ่งเพิ่มเติมเข้ามาคือ หากไม่เป็นไปตาม 4 ข้อ ดังกล่าว ไทยจะขอไม่ลงนามในการประชุม GBC ครั้งนี้ และยังรวมถึงประเด็น 18 เชลยศึก ที่ทางกัมพูชายื่นเงื่อนไขให้ไทยส่งตัวด้วย ถ้ากัมพูชาไม่ลงนามใน 4 ประเด็นที่ว่านี้ ไทยก็จะไม่มีการส่งตัว 18 เชลยศึกกลับแน่นอน
ฟังเสียงฮึ่มของ“บิ๊กเล็ก”จากการให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ ชัดเจนว่า “จากบทเรียนครั้งที่แล้ว (การประชุม GBC) เราให้โอกาส อยากจะเรียนให้เข้าใจว่า นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่ว่าจะสันติอย่างเดียว แต่เราทำตามขั้นตอนโดยยึดกติกาสากลที่สังคมโลกเขาใช้กัน แต่ถ้าเราทำจนถึงที่สุดแล้วกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
ถอดรหัสตรงบรรทัดนี้ ก็หมายความว่า หากการประชุม“GBC”วันที่ 23 ตุลาคมนี้ ถ้ากัมพูชายังยืนกราน ก็จะทำให้การลงนาม“สันติภาพ”ระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” ในการประชุดสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย วันที่ 26 ตุลาคมนี้ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เสนอตัวจะเป็นประธานสักขีพยานในการลงนาม ต้อง“วงแตก”ตามไปด้วย
ประโยคอันเป็นวรรคทอง“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”ของ“บิ๊กเล็ก-พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” จึงมีนัยที่น่าขบคิด อาจจะแปลความได้ว่า“ถ้าจะรบก็ต้องรบ” และถ้าจะให้สมประโยชน์คนไทยส่วนใหญ่ในเวลานี้
รัฐบาลควรประกาศยกเลิก “MOU 43” และ “MOU 44” ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี