วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม” บทเรียนจากกรณีมารี เบิร์นเนอร์ ศวส.–ศวปถ.-สคอ. ชื่นชมตำรวจทำงานโปร่งใส ร่วมประกาศทิศทางใหม่เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน
ทางกลางความมืดมิดที่ทุกคนต่างหลับใหล แต่โซเชียลกลับฮือฮาและเป็นประเด็นร้อน เมื่อหลังคืนวันที่ 24 สิงหาคม 2568 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาใหญ่ในสังคมไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วังทองหลาง “ตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์” บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม และพบรถยนต์พอร์ชสีเขียว ขับโดยนางสาวมารี เบิร์นเนอร์ นักแสดงชื่อดัง ซึ่งมีอาการคล้ายมึนเมา
เจ้าหน้าที่ขอให้เป่าวัดแอลกอฮอล์ตามขั้นตอน แต่เธอปฏิเสธหลายครั้ง โดยอ้างว่าต้องการเข้าห้องน้ำก่อน แม้จะมีการเจรจาอย่างสุภาพและยึดหลักกฎหมายจากเจ้าหน้าที่ แต่สถานการณ์กลับตึงเครียดเมื่อชายที่โดยสารมาด้วยแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และอ้างความสัมพันธ์กับบุคคลระดับสูงในราชการ สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งสองไปยัง สน.วังทองหลาง และแจ้งข้อหา “ขับรถขณะเมาสุรา” ตามมาตรา 43(2) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เนื่องจากปฏิเสธการตรวจวัดแอลกอฮอล์ โดยผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว และจะถูกส่งฟ้องศาลแขวงรัชดาตามกระบวนการ
เหตุการณ์นี้จุดประกายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่พฤติกรรมของบุคคลสาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็สะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบตรวจสอบที่โปร่งใส และความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ได้ออกมายืนยันร่วมกันว่า ประเทศไทยควรเดินหน้าสามมาตรการสำคัญ 3 ด้านไปพร้อมกัน ได้แก่ 1.ต้นน้ำ : สร้างกติกาที่เข้าใจง่าย “ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม” , 2.กลางน้ำ : ระบบสุ่มตรวจแอลกอฮอล์ได้ทุกที่–ทุกเวลา (Random Breath Testing: RBT) เพื่อยับยั้งการดื่มแล้วขับอย่างได้ผลจริง และ 3.ปลายน้ำ : มุ่งเน้นการตรวจสอบประวัติกระทำผิดซ้ำเมาแล้วขับทุกคดี หากปฏิเสธเป่าวัดแอลกอฮอล์ต้องทำสำนวนเสนอต่อศาลให้ลงโทษหนัก
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการ ศวปถ. กล่าวว่า ทุกคดีเมาแล้วขับต้องมีการตรวจประวัติกระทำผิดซ้ำ และหากปฏิเสธเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ต้องเพิ่มโทษหนัก พร้อมเสนอให้มีแผนปฏิบัติการแห่งชาติ ‘ถ้าจะขับ = ห้ามดื่ม’ โดยเน้นการสุ่มตรวจทั่วเมือง วางแผนความถี่–ช่วงเวลา–พื้นที่เสี่ยง และประเมินผลรายไตรมาส พร้อมเสนอให้รัฐสนับสนุนเครื่องมือ เช่น เครื่องตรวจพกพา กล้องติดตัว และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการดื่มก่อนขับอย่างเป็นรูปธรรม
รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ศวส. กล่าวว่า กติกาที่ชัดเจนและการสุ่มตรวจที่คาดเดาไม่ได้ คือ “วิธีที่ยุติธรรมและปกป้องชีวิตได้จริง” พร้อมเสนอเป้าหมายเริ่มต้น “ตรวจเฉลี่ยอย่างน้อย 1 ครั้งต่อผู้ถือใบขับขี่ 1 คนต่อปี” เพื่อสร้างแรงยับยั้งทั้งระบบ
ด้าน นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการ สคอ. กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาดื่มแล้วขับมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอันดับต้นต้นๆของอุบัติเหตุทางถนน หลายครอบครัวต้องสูญเสียผู้นำ หัวหน้าครอบครัว ญาติหรือคนที่รัก เด็กกำพร้าและคนพิการคือร่องรอยที่คนดื่มแล้วขับทิ้งไว้เกือบทุกคืน การที่ตำรวจออกมาเข้มงวดกวดขัน หวังว่าจะช่วยลดความสูญเสียในสังคมไทย มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพดียิ่ง หากคนมีชื่อเสียง ร่ำรวย ยังมีวิธีคิดแบบเดิมๆ ไม่ยอมให้ความร่วมมือหรือดื้อด้านมองผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ในทางที่ผิดเท่ากับกำลังซ้ำเติม ขยายวงความสูญเสียให้มากยิ่งขึ้น ไม่ควรปล่อยให้อยู่เหนือกฎหมาย สมควรต้องลงโทษสูงสุดมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อไป
กรณีของ มารี เบิร์นเนอร์ จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะบุคคล แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่เปิดโอกาสให้สังคมไทยได้ทบทวนกติกาแห่งความปลอดภัย และร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่รับผิดชอบ เพื่อให้ทุกชีวิตบนท้องถนนได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี