ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์เกี่ยวกับเครื่องแต่งกายที่เหมือนและต่างกันอย่างน่าสนใจ
1. รร.กรุงเทพคริสเตียน อนุญาตให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทมาเรียนได้ในวันอังคาร เพื่อเป็นการทดลองงานวิจัยเป็นเวลา 1 เทอม เพื่อจะได้รู้พฤติกรรมของนักเรียน ความสุขที่ได้ บุคลิกภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และความแตกต่างที่สามารถอยู่ร่วมกันได้
2. รัฐบาลพลเอกประยุทธ์สั่งให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบสีกากีมาทำงานทุกวันจันทร์ ซึ่งคาดเดาว่าอาจเป็นการทดลองและขยายจำนวนวันเพิ่มเติมที่ต้องแต่งเครื่องแบบในอนาคต
3. ธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากจะไม่บังคับให้มีเครื่องแบบ ยังได้พัฒนาสองขั้นตอน คือ ในช่วงแรก ให้ทุกวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี แต่งชุดทำงาน เช่น ผู้ชายใส่สูทผูกเนคไท ผู้หญิงใส่กระโปรง ส่วนวันศุกร์สามารถแต่งกายแบบลำลองที่ดูดี ( Smart Casual ) เช่น ผู้หญิงใส่กางเกงสแลค ใส่เสื้อเชิ้ตไปทำงาน ผู้ชายก็ไม่ต้องใส่สูทผูกเนคไทก็ได้
ต่อมาถึงปัจจุบันได้พัฒนาไปอีกขั้นคือวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีสามารถแต่งแบบลำลองที่ดูดี ( Smart Casual) และวันศุกร์สามารถแต่งกายลำลอง (Casual) ที่สามารถใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดคอกลม และรองเท้าผ้าใบมาทำงานได้
ปรากฏว่ามีพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวนหนึ่งแต่งกายชุดไทยประยุกต์ที่ดูเก๋ไก๋ และใส่ผ้าถุงแบบไทยๆมาทำงานสร้างสีสันและความสุข
4. บริษัทเอกชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะพวก start up และ Fin Tech สามารถแต่งกายลำลอง (Casual) มาตั้งนานแล้ว
เครื่องแต่งกาย เครื่องแบบ สำคัญอย่างไร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ผมเคยเป็นอาจารย์ประจำ สอนอยู่ 27 ปีเศษ เป็นสถานศึกษาที่ก้าวหน้าในด้านความคิดเสรีและสร้างสรรค์ ได้เคยถกเถียงเรื่องเครื่องแต่งกายของนักศึกษามายาวนาน
ผมมีโอกาสได้ถกเถียง วิเคราะห์ ร่วมกับนักศึกษา พอจะสรุปได้ ดังนี้
การแต่งเครื่องแบบมีข้อดี คือ ประหยัด มีชุดนักศึกษา 2-3 ชุด ก็หมุนเวียนใส่ได้
การแต่งเครื่องแบบที่แต่ละคนแต่งตัวเหมือนๆกันทำให้กลบเกลื่อนความแตกต่างทางสถานภาพสังคมและเศรษฐกิจ เพราะดูกลมกลืนเหมือนกัน ซ่อนความแตกต่างทางสังคมเศรษฐกิจที่มีไว้
เครื่องแบบสามารถใช้ติดต่อกับหน่วยงานภายนอกได้อย่างสุขภาพ
เครื่องแบบดูจะเป็นระเบียบ ที่จะให้นักเรียนนักศึกษาอยู่ในระเบียบวินัยที่ผู้บริหารกำหนดไว้
2. การแต่งเครื่องแบบมีข้อเสีย คือ
การให้นักเรียนนักศึกษาแต่งตัวเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนๆ กัน เป็นการจำกัดความคิดอิสระ จำกัดจินตนาการของผู้อยู่ในวัยศึกษา ที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง เพราะแม้แต่การแต่งกาย ทรงผม ก็ถูกบังคับ จับดัดพฤติกรรมให้ทำอะไรตามกัน เหมือนกันหมด
การให้ผู้ศึกษาอยู่ในระเบียบวินัยเป็นของดี แต่ระเบียบและวินัยดังกล่าวใครเป็นคนกำหนด เพื่อประโยชน์อะไร? ประโยชน์ของใคร ? ซึ่งผู้ถูกบังคับอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยที่ผู้ศึกษาไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์นั้น ผู้กำหนด ผู้บังคับใช้ ย่อมมองเห็นประโยชน์ของตนเองและตามมุมมอง ประสบการณ์ของตนเอง โดยอ้างความปรารถนาดีต่อนักเรียนนักศึกษา
ยิ่งกว่านั้น ผู้กำหนด คือผู้มีอำนาจที่จะสำรวจตรวจตรา และลงโทษผู้ศึกษาอีกด้วย ยิ่งทำให้ผู้ศึกษาจำยอม เคยชินต่อระบบที่ต้องคิดและทำตามๆ กันไป ซึ่งอาจขัดและแย้งกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์อย่างรวดเร็ว
3. ผู้มีอาชีพตำรวจ ทหาร มีความจำเป็นเฉพาะกลุ่ม ที่จะต้องมีเครื่องแบบ มีวินัยที่กำหนด และฟังคำสั่งจากผู้บังคับและบัญชา ห้ามโต้แย้งหรือมีความแตกต่างออกไป เพราะการรบพุ่ง และด้วยความมั่นคงอาจจำเป็นต้องผนึกกำลัง พร้อมเพรียง และฟังคำสั่ง แม้ว่าผู้รับคำสั่งจะต้องเสี่ยงชีวิตหรือไม่เห็นด้วย
4. อาชีพที่ต้องแสดงตนแยกแยะออกจากประชาชนทั่วไป เช่น ตำรวจ พยาบาล พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารและโรงแรม รวมถึงทหารในบางสถานการณ์ ก็จำเป็นต้องมีเครื่องแบบ ที่ดูแตกต่าง และให้ประชาชนสามารถล่วงรู้ ติดต่อ แยกแยะได้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือแพทย์และผู้บริหารระดับสูงสามารถเลือกที่จะแต่งเครื่องแบบหรือไม่แต่งเครื่องแบบก็ได้
5. น่าสนใจว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่มีคนงานจำนวนมาก ก็นิยมจะให้พนักงาน โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน ต้องแต่งกาย (เครื่องแบบ) เหมือนๆ กัน มีการแยกสีเสื้อแต่ละแผนก เขียว เหลือง แดง ส้ม ทั้งนี้ก็เพื่อสามารถควบคุมพฤติกรรมภายใต้คำว่า “วินัย” ของคนทำงานที่นายจ้างกำหนดไว้
จึงไม่แปลกใจที่จะพบว่า นักโทษในเรือนจำก็มีเครื่องแต่งกายเหมือนกัน เสมือนเครื่องแบบนักโทษ
ผู้ศึกษา นักเรียน นักศึกษา ควรต้องบังคับแต่งเครื่องแบบ หรือไม่?
เคยไปดูเด็กชั้นอนุบาล จะเรียนจะเล่น จะแสดง ต่างคนต่างก็ทำไปตามจินตนาการของตนเอง เมื่อครูเปิดเพลงให้เต้น ก็จะเต้นไปตามจินตนาการของตนที่น่ารักและแตกต่าง แม้ครูจะบอกให้เต้นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ยอมง่ายๆ
แต่พอเด็กเรียนชั้นประถม มัธยม ดูการแสดงประจำปี เปรียบเทียบจะเห็นพร้อมเพรียง ยกมือซ้าย มือขวา หันซ้าย หันขวา เหมือนๆ กัน ความแตกต่างหลากหลายจินตนาการค่อยๆ จางหายไป ความเป็นตัวของตัวเองค่อยๆ ลดลงตามลำดับ
และถ้าเรียนจบแล้ว ทำงานที่ต้องใส่เครื่องแบบ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำงานตาม “ผู้บังคับ ผู้บัญชา” ก็จะทำให้เราได้รับการอุปถัมภ์ เอ็นดู ปลอดภัย
ขณะที่โลกเปลี่ยนแปลง รวดเร็ว รุนแรง ประเทศต้องการความคิดความรู้ การสร้างสรรค์ที่ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก
เราคงต้องให้เยาวชน ผู้ศึกษา ที่จะนำพาสังคมไทยในอนาคตได้เป็นตัวของตัวเอง ได้มีจินตนาการใหม่ ใช้ชีวิตที่ไม่ถูกตีกรอบให้คิดตามๆ กัน จะได้สร้างสรรค์นำพาสังคมไทยในอนาคตให้ถูกทาง
ลดการใช้อำนาจรวมศูนย์ของโรงเรียน มหาวิทยาลัย และครอบครัว ให้ผู้เรียน ผู้ศึกษา ได้มีโอกาส มีส่วนร่วมคิด จึงสามารถนำพาสังคมที่ก้าวไปข้างหน้า และสร้างสรรค์
ทางออกที่สร้างสรรค์
(1) ให้ผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ได้มีโอกาสถกเถียง วิเคราะห์ ถึงผลได้ผลเสีย และความเหมาะสมของสถานภาพและอาชีพแต่ละอาชีพ เพื่อให้เข้าใจ วิเคราะห์และคิด
(2) ให้ผู้เรียนได้ตัดสินใจว่าจะแต่งเครื่องแบบหรือแต่งไปรเวทในแต่ละคน ด้วยตัวเขาเอง
หากเขาให้น้ำหนักความประหยัด ปกปิดความแตกต่าง ทำให้ดูเสมอภาค และอยากอยู่ในวินัยที่ครูและโรงเรียนสร้าง ก็แต่งเครื่องแบบที่มี
หากเขาเห็นว่า การแต่งไปรเวททำให้มีความสุข มีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง ก็สามารถแต่งไปรเวทอย่างสุภาพได้
หากเขาคิดจะแต่งกายสลับตามความเหมาะสม ตามกาลเทศะ ให้เขาคิดว่าวันใดจะแต่งเครื่องแบบหรือไปรเวท ก็ขอให้มาจากความคิดที่มีเหตุมีผล
(3) เสรีภาพทางความคิด เปรียบเสมือนเป็นทั้งดิน น้ำ แร่ธาตุ และแสงแดด ที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโต เสรีภาพทางความคิดที่ผ่านการถกเถียง เข้าใจเหตุผล โดยการนำของโรงเรียนและผู้บริหารการศึกษา ก็จะช่วยให้อนาคตของสังคมที่จะนำโดยคนรุ่นใหม่ เจริญงอกงาม สร้างสรรค์ได้ทันการเปลี่ยนแปลง
ขอสรรเสริญ รร.กรุงเทพคริสเตียน ที่ได้จุดประกายความคิดใหม่ครั้งนี้ และต้องสรรเสริญ รร.หมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี ที่ไม่ได้บังคับให้นักเรียนยากจน กำพร้า ต้องแต่งเครื่องแบบมา 40 ปีแล้ว
รร.อมาตยกุล และโรงเรียนนานาชาติอีกหลายแห่งที่ได้มีความคิดและปฏิบัตินำร่องไปก่อนหน้านี้ 20 ปี
ผมได้รับรู้การให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหมอธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ที่เป็นจิตแพทย์ ผ่านการศึกษาในอังกฤษ และเห็นผลการเรียน การสร้างมนุษย์ ที่ท่านไม่ออกมาขัดขวางโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนครั้งนี้ ก็น่าดีใจที่มีผู้บริหารที่คิดกว้างไกล
น่าคิดว่า รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการจะกล้าเสนอนายกฯ พลเอกประยุทธ์ ให้ยกเลิกคำสั่งให้ข้าราชการต้องแต่งเครื่องแบบสีกากีในวันจันทร์ หรือไม่?
ผมคิดว่าไม่กล้า คิดว่าท่านคงไม่กลัว แต่คงคิดว่า ทหารที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง คงยากที่จะเข้าใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี