เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนา Thammasat Economic Focus (TEF) ครั้งที่ 16 และสัมมนาชุด 70 ปี เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เรื่อง “เดินหน้าเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) จึงขอนำบางช่วงบางตอนจากวงเสวนามานำเสนอในคอลัมน์ “ที่นี่แนวหน้า” ประจำสัปดาห์นี้
เจน นำชัยศิริ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) มองผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อ 24 มี.ค. 2562 ว่า “เมื่อรัฐบาลกับฝ่ายค้านมีเสียง สส. ใกล้เคียงกัน การออกหรือแก้ไขกฎหมายต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาคงไม่ใช่เรื่องง่าย” และแม้ภาคธุรกิจเอกชนจะอยู่โดยพึงพาตนเองเป็นหลัก แต่ก็มีข้อเสนอ 3 ประการ ที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 1.พัฒนาคุณภาพคน สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การศึกษา” แต่น่าเสียดายที่ไม่ถูกหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียง
2.การป้องกันและแก้ไขปัญหาทุจริต ซึ่งทำให้ต้นทุนการประกอบธุรกิจสูงขึ้น แต่ก็เช่นเดียวกับเรื่องการศึกษาที่ไม่ถูกยกเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงของพรรคการเมือง และ 3.การแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เบื้องต้นทราบว่ามีเพียงพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่มีจุดบริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ส่วนพื้นที่
อื่นๆ จะทำอย่างไรต่อ/ไป? หรือกฎระเบียบว่าด้วยการขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะประเทศไทยยังขาด จึงต้องนำเข้าไปจนกว่าจะมีคนไทยเพียงพอ
“ไม่นานนี้ผมอ่านหนังสือพิมพ์ มีคอลัมน์ที่คนอ่านเขียนเข้ามา เหมือนบ่นว่าประเทศนี้ไม่ต้อนรับ Expat หรือคนที่มาทำงานจากต่างประเทศ หลักๆเลยคือเรื่องตรวจคนเข้าเมือง อันนี้เราก็มองว่าหากเราจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีทักษะด้านนี้ แล้วไม่พยายามปรับปรุงให้เขาอยู่สะดวก มีความสุขและมั่นคง มันก็จะทำให้คนเขาไม่อยากจะเข้ามา สิ่งที่เราคาดว่าจะได้อย่างเรื่องเทคนิค เรื่องการปรับกระบวนทัศน์การทำธุรกิจ มันก็จะไม่ได้ คนเหล่านี้เขาจะไปที่อื่นแทน ประเทศที่เป็นคู่แข่งเรา” อดีตประธาน สอท. กล่าว
คุณเจนเล่าต่อไปถึงการมีโอกาสได้เข้าไปร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติ จากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้วพบว่า “กฎหมายเมืองไทยเป็นแบบกระทรวงใครกระทรวงมัน” สังเกตจากส่วนใหญ่ที่ระบุให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงรักษาการตามกฎหมายนั้นๆ “มีเพียงส่วนน้อยที่ให้รัฐมนตรีหลายกระทรวงมีอำนาจหน้าที่ในกฎหมายฉบับเดียวกัน”ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดความร่วมมือกันแบบข้ามกระทรวง โดยแต่ละกระทรวงจะให้ความสำคัญกับตัวชี้วัด (KPI) ของตนเองเป็นหลักมากกว่าตัวชี้วัดร่วมกันที่ส่งผลต่อประเทศโดยรวม
ประการต่อมา “วิธีคิดที่แตกต่างกัน” ระหว่างราชการกับเอกชน กล่าวคือ “ภาคเอกชนหรือประชาชนทั่วไปหากกฎหมายไม่ห้ามย่อมสามารถทำได้ แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐถ้ากฎหมายไม่เขียนให้ทำก็ทำไม่ได้” ทำให้การดำเนินงานของทางราชการประสบปัญหาติดขัดอยู่เนืองๆ แม้หลายเรื่องคนทั่วไปมองเห็นว่าสมเหตุสมผลที่จะทำ แต่หน่วยงานรัฐจะไม่ทำเพราะไม่มีกฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ และนี่คืออุปสรรคสำคัญในการพัฒนา
เมื่อถามถึงความกังวลของภาคธุรกิจต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยขณะนี้ อดีตประธาน สอท. กล่าวว่า “เสถียรภาพทางการเงินการคลังสำคัญที่สุดสำหรับคนทำธุรกิจ” ซึ่งไม่เฉพาะสถานการณ์แบบสุดโต่งอย่างวิกฤติในเวเนซุเอลา หรือการชุมนุมประท้วงที่ฝรั่งเศสเท่านั้น “หากรัฐบาลมุ่งเน้นการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าจนเสียวินัยการเงินการคลัง การแก้ไขย่อมเป็นเรื่องยาก” และจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ
“วินัยการเงินการคลังพอเสียไปแล้ว ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า All Hell Broke Loose ก็คือนรกแตก ถึงตอนนั้นความเชื่อในเงินบาทหายไป ความเชื่อมั่นในระบบการเงินการคลัง การธนาคารของประเทศหายไป ผมถามว่าอะไรจะเกิดขึ้น? ตรงนั้นอันตรายมากกว่า ฉะนั้นจะทำอะไร จะคุยจะเจรจาร่วมรัฐบาลอย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้คงเสถียรภาพเรื่องการเงินการคลังไว้ เพราะตรงนี้สำคัญมากกว่าอย่างอื่น ถ้าตรงนี้หายไปไม่ต้องหวังเรื่องเงินลงทุน ดีไม่ดีจะเกิด Capital Flight คือเงินมันจะไหลออกไปนอกประเทศ” คุณเจน ระบุ
อดีตประธาน สอท. กล่าวอีกว่า “จุดแข็งของประเทศไทยขณะนี้คือเสถียรภาพการเงินการคลังมั่นคงมาก” เช่น มีเงินตราสำรองระหว่างประเทศสูง ส่งออกยังเกินดุลนำเข้าอยู่สูง “แต่ปัญหาคือคุณภาพของบุคลากร” ลำพังจะแข่งขันกับเพื่อนบ้านก็ยังลำบาก “สิ่งที่ภาคเอกชนกลัวจริงๆ คือความไม่แน่นอน เพราะความไม่แน่นอนแปลออกมาคือความเสี่ยง” แน่นอนหากมีความเสี่ยงย่อมเกิดต้นทุน “ยิ่งเสี่ยงมากต้นทุนยิ่งสูงมาก” สุดท้ายนักลงทุนคงไม่อยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ
อนึ่ง..ในกรณีนโยบายประเภทสวัสดิการสังคมต่างๆ นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตั้งประเด็นท้าทาย “กล้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากร้อยละ 7 เป็น 10 หรือไม่?” เพราะก่อนหน้านี้ TDRI เคยร่วมกับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) สำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่างจากหลายจังหวัด แล้วพบว่า“ประชาชนยินดีจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น หากส่วนที่เพิ่มนั้นถูกนำไปใช้กับสวัสดิการสังคมจริงๆ” ซึ่งที่ผ่านมาพรรคการเมืองมักหาเสียงว่าจะให้อะไร แต่ไม่ค่อยบอกว่าจะหางบประมาณมาจากไหน
อีกด้านหนึ่ง “เงินนอกงบประมาณ” ที่รัฐบาลทุกชุดไปหยิบยืมมาจากสถาบันการเงินของรัฐ และใช้ไปโดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา “สุ่มเสี่ยงกับภาระหนี้สิน” ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับ “โครงการจำนำข้าว” ที่สุดท้ายรัฐบาลก็ต้องตั้งงบประมาณไปใช้คืน “ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดมาอุดช่องโหว่ตรงนี้” ขณะเดียวกันต้องยอมรับความจริง “ประเทศไทยยังไม่รวย สวัสดิการสังคมจึงมีได้แต่เพียงขั้นต่ำ” เรื่องนี้ทุกพรรคการเมืองต้องสร้างฉันทามติร่วมกัน
ขณะที่ รศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า “การจัดสวัสดิการจะมีประสิทธิภาพไม่ได้หากไม่กระจายอำนาจ” เพราะมีแต่ท้องถิ่นที่รู้ว่าใครมีปัญหาอะไรและรัฐบาลกลางไม่มีทางเข้าถึงได้ครบถ้วน “ต้องกระจายอำนาจทั้งการเมืองและการคลัง” โดยเฉพาะแหล่งรายได้อย่าง “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” การตั้งเกณฑ์ยกเว้นบ้านหลังแรกไว้ที่ 50 ล้านบาท ถือว่ามากเกินไปเพราะจะเหลือคนที่ต้องเสียเพียงไม่กี่พันคนจากทั่วประเทศเท่านั้น เช่นเดียวกับ “ภาษีมรดก” ที่ทราบว่าออกมา 2 ปี เก็บได้เพียงรายเดียว
ทั้งหมดนี้คือ “การบ้าน” ที่ต้องฝากไว้กับรัฐบาลหลังเลือกตั้งไม่ว่าขั้วใดจะเป็นแกนนำ..เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเดินหน้าและสวัสดิการสังคมของประชาชนยังไปต่ออย่างยั่งยืน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี