ถ้าเปรียบเทียบ “การช่วงชิงอำนาจรัฐ” ระหว่างขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ เป็น “มวยสากลปนสาโท” ก็คงสรุปได้ชัดๆ ว่าเป็น “มวยคู่มาราธอน” ที่จะต้องต่อกรกันบนเวทีถึง “15 ยก” จึงจะรู้ว่า ใครแพ้ ใครชนะ?

คงจะแตกต่างไปจาก “มวยสมัครเล่น” ไม่ว่าจะเป็น “มวยสากลปนสาเก” หรือ “มวยไทยปนกังฟู” และ “มวยวัดปนมวยหมู่” ส่วนใหญ่จะสู้กันชั่ว “ต้มน้ำเดือด” คือชกกัน “3 ยก” เท่านั้น กรรมการก็จะชูมือโชว์จั๊กแร้ฝ่ายที่ชนะ

สำหรับ “มวยไทยระดับอาชีพ” กติกาทุกสนามกำหนดให้ “ชกกัน 5 ยก” ทั้งนี้เพราะมวยไทยมีอาวุธร้ายแรงทั้งเตะ ต่อยศอก เข่า และอีกสารพัดแม่ไม้มวยไทย ขืนให้ชกเกินกว่า 5 ยก “อาจมีรายการฆาตกรรมบนเวที”

ส่วน “มวยสากลระดับอาชีพ” ปัจจุบัน “ให้ชกกัน 12 ยก” ผิดกับ “ยุคโบราณ” สมัยที่ “โผน กิ่งเพชร” เป็นแชมป์โลก และ “ร็อกกี้ กราเซียโน” เป็นยอดแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวท จะให้ “ชกกันยาวนานถึง 15 ยก”

“คู่มวยที่จะยืนแลกหมัดได้ยาวไกลถึง 12 ยก หรือ 15 ยกได้นั้น จะต้องเป็นมวยอึดอย่างแรด ดุดันแบบสิงโต และรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในการยืนต่อกรบนเวที”

ดังนั้น นักมวยคนเดียวกัน บางยุคจึงเป็น “จอมลุยแบบแรมโบ้” บางยกกลับ “ใส่เกียร์ถอยหลัง” อย่างไม่คาดฝัน และบางยก “ขยันเข้ากอดคู่ต่อสู้อย่างนัวเนีย” เพื่อพักเอาแรง

การช่วงชิงอำนาจรัฐในการเมืองไทยระหว่างขั้วอำนาจเก่า และขั้วอำนาจใหม่นั้น ได้ถูกกรรมการมวย หรือ กกต.กำหนดให้ “ชกกัน 15 ยก”

“ยกหนึ่งถึงยกสาม” ซึ่งเป็นช่วงการหาเสียงเลือกตั้งนักมวยทั้งสองฝ่ายต่างออกอาวุธเข้าใส่กันอย่างสุดมันเป็นมวยชกกันระดับ “ซูเปอร์ไฟท์ติ้ง” พอระฆังตีดังให้ชกกันใน “ยกสี่ถึงยกหก” ทั้งคู่ต่างกลายเป็น “มวยออมแรง” ชกกันแบบเฉื่อยชา น่าจะเรียกว่า “บ็อกเซอร์” ก็ว่าได้

ขณะนี้มวยการเมืองอยู่ในระหว่าง “ยกเจ็ดถึงยกสิบ” มวยทั้งคู่กลายเป็น “ชกแบบเฉื่อยแฉะ” ได้แต่เต้นฟุตเวิร์กไปรอบๆ เวที

หลังวันที่ 9 พฤษภาคม มวยคู่นี้จะพันตูใน “ยกสิบเอ็ดถึงยกสิบห้า” ฟันธงได้เลยว่า ทั้งคู่จะกลับมา “ออกอาวุธมหาประลัย” เหมือนยกแรก

นักเชียร์มวยระดับ “หัวร้อน” ทั้งหลาย เตรียมระทึกใจหลังวันที่ 9 พฤษภาคม ได้แล้วจ้า

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม