เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปบนโลกใบนี้ “เมื่อประเทศมีการพัฒนาจนเจริญก้าวหน้าในระดับหนึ่ง..งานบางประเภทก็จะหาคนท้องถิ่นทำไม่ได้อีกต่อไป” ทำให้ต้องอาศัย “แรงงานข้ามชาติ (หรือในทางกฎหมายเรียกว่าแรงงานต่างด้าว)” เข้ามาเติมเต็มในที่ขาด และด้วยความที่หลัก“สิทธิมนุษยชน” เป็นค่านิยมของโลก การใช้แรงงานข้ามชาติจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ “หากละเลยอาจถูกคว่ำบาตร” กระทบต่อการส่งออกสินค้าไปขายในต่างประเทศได้ และไม่เฉพาะต่อแรงงานเท่านั้น ยังรวมถึงครอบครัวที่ติดตามมาด้วย
สุดสัปดาห์ที่แล้วมีการจัดเวทีเสวนา “จากอวนสู่ปาก” ณ ห้างสรรพสินค้าเกตเวย์ เอกมัย ยุภาพร บุญติด ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการ องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ในส่วนของบุตรหลานแรงงานข้ามชาตินั้น ตัวเลขที่กระทรวงศึกษาธิการ และเครือข่ายภาคประชาสังคม (NGO) ที่ทำงานด้านสิทธิแรงงานข้ามชาติเคยสำรวจไว้พบว่าในปี 2561 มีอยู่ประมาณ 2 แสนคน ที่เข้าไม่ถึงการศึกษาไม่ว่าจะในระบบหรือนอกระบบ แม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายให้เด็กทุกคนที่อาศัยบนผืนแผ่นดินไทยเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานก็ตาม
ทั้งนี้โครงการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานเพื่อหยุดการเอารัดเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมง นอกจากส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรมในภาคธุรกิจแล้ว ยังสนับสนุนให้บุตรหลานแรงงานข้ามชาติได้ถึงเข้าถึงการศึกษาด้วย เช่น สอนภาษาไทยเบื้องต้นเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเรียนชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนไทย มีการจัดห้องเรียนนอกสถานที่ โดยประสานกับทั้งโรงเรียนและหน่วยการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) รวมถึงอบรมทักษะอาชีพ เพื่อให้สื่อสารกับนายจ้างและยกระดับให้พ้นจากการเป็นแรงงานไร้ฝีมือ เป็นต้น
สมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) กล่าวว่า ตัวเลขของกระทรวงแรงงาน ระบุจำนวนแรงงานข้ามชาติไว้ที่ราว 3 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นประชากร 3 สัญชาติ (เมียนมาลาว กัมพูชา) ราว 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งก็จะมีผู้ติดตามอันหมายถึงบุตรหลานอยู่ด้วย คาดว่าน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 5-10 ของจำนวนแรงงานข้ามชาติดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ประกอบการเองก็กังวลเรื่องการใช้แรงงานเด็กเพราะกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศ จึงมีการรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนให้บุตรหลานแรงงานข้ามชาติได้เข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐ ซึ่งทาง LPN ก็ได้เข้าไปทำงานกับผู้ประกอบการ ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมาจนปัจจุบัน รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงาน โดยในอนาคตจะขยายไปยังภาคส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมประมง ด้วยเห็นว่าหากชีวิตของแรงงานมีความสุข ย่อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อรรถพันธ์ มาศรังสรรค์ ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย ระบุว่า ประเทศไทยส่งออกทูน่าเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งเบื้องหลังคือแรงงานข้ามชาติที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา การเข้าร่วมโครงการทำให้ได้เรียนรู้มาตรฐานที่นานาชาติให้การยอมรับ ผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเข้มงวดเรื่องแรงงานเด็ก แรงงานบังคับและการเลือกปฏิบัติ เพราะหากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลย่อมไม่อาจส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้
ถึงกระนั้นก็ยอมรับว่ามีปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทใหญ่นั้นรับได้แต่รายย่อยจะทำอย่างไร นอกจากนี้ยัง “ต้องการให้รัฐบาลไทยกับรัฐบาลเมียนมาร่วมมือกันจัดทำกระบวนการจัดหาแรงงานที่โปร่งใสและเป็นธรรมตั้งแต่ต้นทาง” และย้ำว่า “งานในอุตสาหกรรมประมงต้องจ้างแรงงานข้ามชาติเพราะหาคนไทยทำยากมาก” แม้จะให้ค่าจ้างที่มากกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำก็ตาม
วิชาญ จันทราวิสุทธิ์ รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายตลาดต่างประเทศ บริษัทอุตสาหกรรมน้ำปลาระยอง จำกัด ในฐานะ 1 ใน 40 โรงงานที่เข้าร่วมโครงการ เปิดเผยว่า บริษัทมีแรงงานไทย 91 คน กัมพูชา 58 คน เมียนมา 32 คน และคาดว่าในอนาคตจะมีแรงงานเมียนมาเพิ่มขึ้นอีก และกล่าวเช่นกันว่า “แรงงานไทยขาดแคลนโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจึงเข้ามาเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ” และยังเป็นตลาดสำคัญด้วย
สาเหตุที่เข้าร่วมโครงการเพราะบริษัทผลิตสินค้าส่งไปขายยังประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเมื่อ 5 ปีก่อนอุตสาหกรรมประมงไทยถูกนานาชาติกล่าวหาว่าใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ด้วยความที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการรายเล็กมีข้อจำกัดเรื่องการจัดสวัสดิการให้แรงงานและบุตรหลานแรงงานข้ามชาติ โครงการนี้จะเข้ามาสนับสนุนในส่วนที่ขาด แต่สิ่งที่อยากให้ทำต่อไปคือจะทำอย่างไรให้ตัวแทนผู้จัดหาแรงงานดำเนินการจัดหาแรงงานที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับงาน
โบรา ตัวแทนแรงงานข้ามชาติ ปัจจุบันทำงานที่ จ.ระยอง เล่าว่า อยู่ประเทศไทยมาแล้ว 3 ปี ข้ามฝั่งมาจากกัมพูชาเพราะฝั่งไทยให้ค่าจ้างดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้มาอยู่ในสถานประกอบการที่นายจ้างดูแลอย่างดี ตนเองก็ทำงานได้อย่างสบายใจ ขณะเดียวกันก็ดีใจที่มีภาคประชาสังคมเข้าไปช่วยดำเนินการให้ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนไทย และหวังว่าจะสามารถเรียนได้จนสำเร็จการศึกษา
วิชาดา จอร์จ ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน กล่าวว่า เหตุที่ต้องเข้มงวดกับอุตสาหกรรมประมงเพราะเป็นกิจการที่สุ่มเสี่ยงต่อปัญหาการค้ามนุษย์ หากแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมประมงได้ ย่อมขับเคลื่อนกิจการอื่นๆ ต่อไปได้ด้วย ทั้งนี้แม้ปัจจุบันอุตสาหกรรมประมงจะขาดแคลนแรงงาน แต่ผู้ประกอบการก็ต้องจ้างแรงงานอย่างถูกกฎหมาย
สำหรับมุมมองต่อโครงการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานเพื่อหยุดการเอารัดเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมง เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมประมงนั้นภาครัฐเพียงฝ่ายเดียวคงทำไม่สำเร็จ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโดยสมัครใจซึ่งได้ผลดีกว่าการบังคับ และมีภาคประชาสังคมเข้าไปให้การสนับสนุน ทั้งหมดนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นในสายตาชาวโลก
ผอ.สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางานยังกล่าวอีกว่า ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตได้ว่าพบเห็นการค้ามนุษย์หรือไม่ เช่น ถูกบังคับให้ทำงาน มีการทำร้ายร่างกาย หรือถูกบังคับให้ทำงานเกินกว่าที่กำหนดในสัญญาจ้าง หรือจ่ายค่าจ้างแรงงานอย่างไม่เป็นธรรม เช่น หาเรื่องหักค่าใช้จ่ายต่างๆ หากพบเห็นขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพราะเรื่องการค้ามนุษย์ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นในประเทศไทย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี