16 กรกฎาคม คณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง บังเอิญวันนั้นเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ วันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระใหญ่ที่คนไทยชาวพุทธถือศีลตั้งจิตอธิษฐานว่าจะพูดคำสัตย์ไม่พูดโป้ปดมดเท็จ
สมเด็จพระสังฆราช ได้ประทานพระคติธรรมในวันเดียวกันโดยให้ละเว้น “วจีทุจริต” ทั้งที่ปรากฏผ่านอุปกรณ์การสื่อสารอันรวดเร็วหรือประพฤติชั่วทางวาจา แต่ให้ตั้งปณิธานว่าจะดำเนินชีวิตด้วย “ปิยวาจา”
นับเป็นโอกาสดีที่คณะรัฐมนตรีจะได้ใส่ใจและปฏิบัติตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อองค์พระประมุข และระมัดระวัง “วจีทุจริต” ทำตามสิ่งที่ได้ตั้งปณิธานไว้ ก็จะได้เป็นมงคลประโยชน์ต่อแผ่นดินและสังคมไทย
หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณ ถือว่าคณะรัฐมนตรีเป็น ครม. ใหม่เต็มตัว ครม. เดิม รวมทั้ง คสช. ก็สิ้นสภาพโดยปริยาย
หลังจากนั้น 1-2 วัน ปรากฏว่า รมต. จำนวนมากเริ่มเข้าทำงานในกระทรวงของตนต่างเริ่มจากกำหนดฤกษ์พานาที สื่อมวลชนรายงานว่าบางคนก้าวลงจากรถด้วยเท้าข้างขวาก่อน และเข้าสักการะสิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น พระพรหม ศาลตาศาลยาย
ซึ่งถ้าจะสังเกตให้ดี จะเห็นว่าได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์และผี ทั้งๆ ที่เมื่อถามรัฐมนตรีแต่ละคนจะตอบว่าตนเป็นพุทธ
พุทธศาสนาเน้นที่กรรม คือ การกระทำของตนและไม่คิดว่าฤกษ์ผานาที อิทธิพลดวงดาว วัตถุเหล็ก หิน ดิน ทราย ที่นำมาขึ้นรูปปั้นจะช่วยอะไรได้ การกระทำของตนตามที่ตั้งสัตย์ปฏิญาณและตั้งปณิธานที่ดีไว้จึงจะช่วยได้
ถามว่าธรรมเนียมที่ปรากฏ เมื่อผู้รับตำแหน่งการเมืองเข้ากระทรวงวันแรก ต้องไปสักการะสิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งแรก
รวมทั้งสื่อมวลชนและประชาชนก็สนใจในการกระทำนี้ด้วยเป็นเพราะเหตุใด
(1) ความเชื่อเรื่องเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน ยังมีอยู่สูงมาก และผู้คนยังแยกไม่ออกหรือไม่แยกระหว่างพุทธกับพราหมณ์และผี
(2) รมต. ในอดีตและ รมต. ปัจจุบันคนอื่นเขาก็ทำกัน เกรงจะดูแปลกแยกแตกต่างหากไม่ทำตามก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์
(3) “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” เป็นคำที่ติดอยู่ในความทรงจำ จากเทคนิคการใช้วาทกรรมที่คนในแวดวงไสยศาสตร์มีความฉลาดที่หยุดยั้งการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์หรือรู้ทัน หลวงพ่อปัญญาเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราไม่เชื่อเราต้องบอกไปว่า “ไม่ได้ลบหลู่ แต่เรา
ไม่เชื่อ”
(4) ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญที่สุดคือ “ความเสี่ยง” อาชีพใด ภาวะใด ที่มนุษย์ต้องดำเนินการภายใต้ความเสี่ยงภัย ก็ต้องหาที่ยึดเหนี่ยวเป็นกำลังใจ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพขับเครื่องบิน ขับเรือ ขับรถ ทหารที่ต้องออกรบ นักโดดร่ม ชาวประมง นักผจญเพลิง เป็นต้น
คนที่อยู่ในสถานการณ์ที่เรือกำลังจะอับปาง เครื่องบินกำลังตก มักจะสวดมนต์ นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ของตนขึ้นมาเพื่อหาที่พึ่งพา
โดยเฉพาะผู้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ ที่เชื่อว่าผู้มีอำนาจสามารถดลบันดาล คุ้มครองตัวเองได้
รมต. กับความเสี่ยง
ปรากฏการณ์ที่รัฐมนตรีเข้าสักการะสิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ก่อนเข้าทำงานดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ใครอยู่ในสถานะเดียวกันนี้ก็คงจะมีเหตุผลข้อใดข้อหนึ่งที่อยู่ข้างต้น
ผมเชื่อว่าความเสี่ยงภัยของการเป็น รมต. คงจะมีอย่างแน่นอน
1) บางคนเสี่ยงที่จะรู้ประวัติของตนในอดีตที่ลืมไปแล้วและไม่อยากจำ ไม่อยากให้คนอื่นรู้เพราะจะเสียหาย
2) เสี่ยงที่จะถูกคู่แข่ง คู่ต่อสู้ หรือคนที่มีอคติ กลั่นแกล้งจับผิดทำลายความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะข้าราชการในกระทรวงที่เป็นพรรคพวกอยู่ในระบบอุปถัมภ์ของศัตรูทางการเมืองวางยา ยัดไส้ เปิดเผยข้อมูลความลับ
3) เมื่ออยู่ในอำนาจก็ย่อมมีผลประโยชน์ เกรงจะอดใจ หักห้ามใจไม่ได้ เกรงลูกน้องและองคาพยพที่ตามมาจะหาผลประโยชน์แล้วไม่แบ่งหรือแบ่งบ้างไม่แบ่งบ้าง หรือทำงานนอกสั่งทั้งๆ ที่ตัวเราเป็นผู้บริสุทธิ์
4) สังคมไทยยังนิยมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ก็มีความเสี่ยงตั้งแต่จะเผชิญความรุนแรงด้านวาจา ปาขี้ (รมต.อุทัยโดนมาแล้ว) ปืน ระเบิด รถถัง (พล.อ.เปรมโดนมาแล้ว) รวมทั้งถูกวางยาพิษด้วยความสัมพันธ์ ชู้-สาว
5) สถานการณ์โลกไม่เอื้ออำนวย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก อิทธิพลสภาวะเศรษฐกิจโลกไม่อำนวย ตลาดสินค้าเกษตรและอุตฯโลกเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีใหม่เปลี่ยนแปลงปั่นป่วน ที่เคยคุยไว้ หาเสียงไว้จึงไม่ได้เป็นผลตามคาด
6) ลูกน้องที่อยู่ใต้การอุปถัมภ์ที่หนุนให้เป็น รมต. เรียกร้องหาผลประโยชน์ หาตำแหน่ง ฝากคนทำงาน ฯลฯ ถ้าไม่ได้ประโยชน์สมใจก็ตีตัวออกห่าง หานายใหม่ และเปิดโปงแฉความชั่วความผิดพลาดแต่เบื้องหลัง
7) ความเสี่ยงที่คนไม่เคยเป็นรัฐมนตรีจะไม่รู้เป็นเรื่องเฉพาะตัวแต่ละคน
พิสูจน์ความจริงเพื่อเรียนรู้
สื่อมวลชนหรือคนสนิทน่าจะได้สอบถาม รมต. ว่าขณะที่กราบไหว้สิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเขาคิดอะไร พูดอะไรในใจ หรือพูดในสมองของท่าน
เชื่อว่าหลายคนคงจะ “ขอ” ขอให้ประสบความสำเร็จเรื่องอะไร ขอให้แคล้วคาด มั่นคงเรื่องอะไร? ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเรื่องอะไร?
การ “ขอ” เพื่อให้ “ดลบันดาล” ทั้งหลายสะท้อนระบบอุปถัมภ์ของ รมต. ผู้นั้นว่ายังคิดหาผู้ที่มีอำนาจเหนือตัวเขาเองมาดลบันดาลให้แก่เขาเรื่องอะไร และจะได้วิเคราะห์ต่อว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
รมต. บางคนอาจจะ “บน” ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจสามารถดลบันดาลให้เขาได้อะไรตามต้องการ แล้วจะนำอะไรมาถวายเป็นการตอบแทน ถ้าไม่ได้ก็ไม่ให้ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่า รมต. คนไหนติดอยู่ในระบบ “สินบน” คุ้นเคยวัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่ใช้สินบนและบุญคุณในการตอบแทน
หากสังคมจะกำหนดให้ รมต. ต้องพูดด้วยเสียงอันดังขณะกราบไหว้เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงได้ เราคงได้ความจริงมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะหากบังคับให้ท่าน รมต. เปล่งวาจาออกมาว่าเขาได้ตั้งปณิธานอะไรไว้ต่อหน้าสิ่งที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ว่าในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง รมต. เขาจะตั้งใจว่าจะกระทำหรือละเว้นไม่กระทำอะไรในช่วง 1-4 ปี หากได้อยู่ในตำแหน่งครบวาระ
เป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ที่ดีไม่ง่ายเลยครับ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี