เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ของสหรัฐอเมริกา ได้เสนอรายงานบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง ซึ่งได้อ้างถึงรายงานขององค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เปิดเผยว่า ในปี 2573 หรือ 2030 ประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุที่มีวัยเกิน 60 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมดซึ่งมีประมาณ 65 ล้านคน หรือ 16.25 ล้านคน ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่เป็นประเทศรายได้ปานกลาง มีรายได้ประชาชาติเป็นอันดับ 2 ในกลุ่ม 10 ชาติอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย
ตัวเลขประชากรไทยในสิ้นปี 2561 จากสำนักทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า มีจำนวน 66,413,979 คน เมื่อดูลึกลงไปในรายละเอียด 30 ปีที่ผ่านมา สถิติจำนวนเด็กทารกเกิดใหม่ของไทยมีปริมาณที่ลดลงมาโดยตลอดจากปีละ 1 ล้านกว่าคนลงมาเหลือไม่ถึง 600,000 คน ในปี 2561 บลูมเบิร์กระบุว่าในยุคที่เรียกว่า เบบี้บูมมีสมาคมพัฒนาขององค์กรเอกชน ได้เผยแพร่เรื่องการคุมกำเนิดแก่ประชาชนในแนวความคิดเรื่องการมีบุตรมากจะยากจน ทำให้คนไทยทั้งในเมืองและชนบทมักไม่นิยมมีบุตรและคุมกำเนิดอย่างเข้มงวด แนวความคิดนี้ทำให้ครอบครัวชาวไทยนิยมมีบุตรน้อยและหลายๆ ครอบครัวก็ไม่มีบุตรเลยก็มี
ตัวเลขทารกที่เกิดวัดจากสถิติอายุของประชากรไทยใน 1 ทศวรรษ ระหว่างปี 2552 ถึง 2561 พบว่าจำนวนทารกลดลง คือ ปี 2552 มี 776,482 คน ปี 2561 มี 589,954 คน หากสำรวจข้อมูลย้อนหลังไป 20 ปี จะพบว่าปี 2542 มีจำนวน 875,620 คน ในขณะที่ปี 2551 มีจำนวน 781,642 คน ผลของประชากรเด็กมีเพิ่มน้อยทำให้โรงเรียนในไทยมีนักเรียนลดน้อยลงทำให้ต้องมีการยุบเลิกโรงเรียนหลายแห่งในขณะที่มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐบาลและเอกชนในปี 2562 มีปัญหาไม่มีนักศึกษาใหม่เข้ามาเรียนมากพอ
จนมีกระแสข่าวว่ามหาวิทยาลัยของรัฐอาจจะต้องปิดไป ส่วนมหาวิทยาลัยเอกชนก็มีข่าวว่ามีการขายไปให้นักธุรกิจจากจีนที่เข้ามาร่วมทุนตั้งเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติเพื่อรองรับนักศึกษาจีนที่ต้องการจะเรียนในระดับอุดมศึกษาเพราะสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประชากร 1,4440 ล้านคน มีที่เรียนให้นักศึกษาได้ไม่เกินปีละ 40 ล้านคน จำต้องมาเปิดมหาวิทยาลัยในไทย รับนักศึกษาจีนอีกปีละประมาณ 10 ล้านคนขึ้นไป สำหรับมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตกเป็นข่าว เช่น เกริก, รัตนบัณฑิต, แสตมฟอร์ด เป็นต้น
รายงานของสหประชาชาติระบุว่าไทยมีอัตราการเกิดที่น้อยมากเหมือนหลายๆ ประเทศที่เจริญแล้ว คือ ญี่ปุ่น, สวิตเซอร์แลนด์, ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ ที่น่าวิตกคือประชากรสูงอายุของไทยที่มี 16 ล้านคนนั้น ร้อยละ 60 เป็นคนยากจนฐานะไม่ดี ต้องพึ่งการสนับสนุนจากรัฐบาลที่เหลือร้อยละ 40 ประมาณ 6.4 ล้านคนนั้น มีฐานะดีซึ่งไม่ต้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยซึ่งผิดกับ 4 ประเทศข้างต้น ตลอด2 ทศวรรษหลัง ระหว่างปี 2542 ถึง 2561 ไทยมีอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงมากจากเดิม 6.6 จุดเหลือ 2.2 จุด และปีนี้เหลือ 1.5 จุด ในขณะที่อัตราของจีนอยู่ที่ 1.7 ในขณะที่อัตราเจริญพันธุ์มาตรฐานของสหประชาชาติกำหนดไว้ที่ 2.1 จุด เพื่อให้จำนวนประชากรของประเทศคงที่เหมือนสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และเยอรมนี
อาจารย์สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เคยเสนอมาตั้งแต่ปี 2557 ให้รัฐบาลหามาตรการรองรับปริมาณประชากรที่สูงอายุของไทย สหประชาชาติคาดว่าปี 2588 ประชากรไทยที่สูงอายุจะมีถึงร้อยละ 36 จากจำนวนประชากร 63.8 ล้านคน หรือ 22.96 ล้านคน การที่ไทยมีประชากรสูงอายุเพิ่มมาก จะทำให้กองทุนประกันสังคมไม่มีเงินบริหารงานในอีก 15-20 ปีข้างหน้า ซึ่งรัฐบาลต้องหามาตรการแก้ไขไว้เป็นการล่วงหน้าจะนิ่งนอนใจไม่ได้
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงของสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เผยว่า ปัญหาของกองทุนบำนาญของไทยและกองทุนประกันสังคมอาจจะมีเงินใช้จ่ายไม่พอในปี 2577 ทางภาครัฐบาลต้องปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีเสียใหม่ทั้งหมดให้ประชาชนทุกคนมีภาระภาษีหากมีรายได้ต่อปีมากกว่า 240,000 บาท หนทางแก้ที่ไทยต้องมองไปในอนาคตมีนักวิชาการเสนอว่าไทยต้องปฏิรูปประเทศเป็น 2 รูปแบบ คือ ในเมืองต้องเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าในเวลา 1 ทศวรรษ ส่วนในชนบทก็ต้องเป็นประเทศเกษตรกรรมก้าวหน้าแบบครบวงจรเช่นเดียวกัน
เพื่อสร้างให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วพ้นจากประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลางที่เป็นมานานกว่า 20 ปี คนไทยต้องมีรายได้เฉลี่ยต่อคนปีละ 500,000 ถึง 600,000 บาท ทางด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เผยว่า การแก้ไขปัญหาสังคมสูงวัยของไทยเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข โดยกระทรวงได้เชิญนักวิชาการจากทุกมหาวิทยาลัยที่เป็นหลักมาปรึกษาช่วยกันระดมสมองแก้ปัญหาในเดือนนี้
นอกจากนี้แล้วกระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย ก็จะต้องมีส่วนในแผนการเพิ่มประชากรไทยให้มากพอ ผู้บริหารสูงสุดก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องรับรู้เช่นเดียวกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี