สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้วางระเบิด หวังป่วน ทำลายศรัทธาความน่าเชื่อถือของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ในกรุงเทพฯและปริมณฑลถึง 10 ครั้ง 5 จุด เป็นระเบิดแสวงเครื่อง 8 ลูก ระเบิดเพลิง 2 ลูก มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย
นับเป็นการวางระเบิดอย่างเป็นขบวนการต่อเนื่อง ประชาชนคนธรรมดาทำไม่ได้ เป้าหมายอยู่ที่หน่วยงานความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ บริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าและประตูน้ำ
วิเคราะห์กันว่า คนที่ดำเนินการ จะต้องเป็นคนวงในของรัฐบาลที่รู้ว่าวันเวลาดังกล่าว เป็นการส่งมอบเปลี่ยนหน่วยงานด้านความมั่นคงจากทหารเป็นหน่วยอื่น และที่สำคัญ เกิดขึ้นในช่วงการประชุมความมั่นคง ASEAN ที่มี รมต.ต่างประเทศ
ของชาติต่างๆ รวมถึงชาติมหาอำนาจมาร่วมประชุมที่กรุงเทพฯ
ระเบิดดังกล่าว ไม่ได้ต้องการทำร้ายผู้นำต่างชาติหรือประชาชนคนไทยทั่วไป เพราะแม้จะมีระเบิดหลายจุดแต่ก็สร้างความเสียหายไม่มากนัก ยกเว้นความเสียหายที่จะเกิดแก่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ในสัปดาห์เดียวกัน 1 วันก่อนที่ระเบิดจะถูกนำไปวางในจุดต่างๆ สนง.สลากกินแบ่งโดยคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่ง ได้มีมติออกหวยรัฐบาลเพิ่มการพนันรูปแบบใหม่ โดยใช้สัตว์ 12 ตัวที่คนไทยรู้จักกันดี ตามนักษัตร 12 ราศี
ที่มีรูป หมา หมู งู แพะ กระต่าย ฯลฯ แทนตัวเลข 0–9 เป็นเครื่องมือในการเล่นการพนัน เสมือนเป็นการประกอบระเบิดให้รัฐบาล
คนจำนวนมากไม่เห็นด้วย ที่รัฐบาลจะออกผลิตภัณฑ์การพนันเพิ่มเติมรูปแบบใหม่ วิธีการเล่นใหม่ที่ยั่วยวนใจ เล่นง่าย เป็นการขยายตลาดสลากกินแบ่ง จากเดิมที่เป็นหวยแผ่นกระดาษ ซึ่งรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้เพิ่มจำนวนจากงวดละ 37 ล้านฉบับ เป็น 90 ล้านฉบับและกำลังจะเพิ่มเป็น 100 ล้านฉบับต่องวด อยู่แล้ว
มติของคณะกรรมการสลากกินแบ่งดังกล่าว จึงเสมือนเป็นระเบิดอีกลูกที่พร้อมทำลายความน่าเชื่อถือ ทำลายศรัทธาของรัฐบาลประยุทธ์
การนำสัตว์ 12 ชนิดตามนักษัตร มาให้ประชาชนเลือกแทนตัวเลข 0–9 จำนวนทั้งสิ้น 4 หลัก โดยใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อขายตรงระหว่าง สนง. สลากฯ กับผู้เล่น ครั้งละ 50 บาท ย่อมจะแก้ปัญหาการขายหวยเกินราคาได้ เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยีซื้อขายตรงด้วยแอพพลิเคชั่น
แต่ข้ออ้างที่ว่าการออกผลิตภัณฑ์แบบใหม่และมีวิธีการใหม่ เพิ่มจะเป็นการแย่งตลาดหวยใต้ดิน ดูจะเป็นความฝันที่เลื่อนลอย เพราะเจ้ามือหวยใต้ดินก็สามารถรับแทงหวยรูปแบบสัตว์ 12 ตัว เหมือนรัฐบาลได้ ขณะเดียวกันเขาก็สามารถเพิ่มตลาดลูกค้าใหม่ได้โดยเพิ่มเงินรางวัลจูงใจ
ข้อเสนอของ สนง.สลากกินแบ่งครั้งนี้ จึงเหมือนการวางระเบิดอีกลูก เพราะหากรัฐบาลอนุมัติให้ทำตามข้อเสนอ ก็เท่ากับเป็นการจุดระเบิดเสียเอง ทั้งนี้เพราะ
1. สลากกินแบ่งหรือหวยสัตว์ 12 ตัว เป็นการพนัน เป็นสินค้าบริการที่ไม่พึงปรารถนา รัฐพึงจำกัดประเภทและจำนวนและจะต้องพยายามควบคุมปริมาณให้ค่อยๆ ลดลง แต่นี่เป็นการขยายตลาด ขยายชนิดประเภทการพนัน ที่รัฐบาลจะถูกกล่าวหาว่ามอมเมาประชาชน ให้ประชาชนสนใจฝันเห็นตัวเลข และครั้งนี้ก็คงจะฝันควบกับการเห็นสัตว์ 12 ชนิด อีกด้วย ประชาชนจะได้ไม่ใส่ใจปัญหาสังคมการเมือง
2. การขยายสลากกินแบ่งแบบเดิมจากงวดละ 37 ล้านฉบับ เป็น 100 ล้านฉบับต่องวด และขยายชนิดเป็นหวยรูปสัตว์ 12 ตัว เพื่อขยายตลาดรัฐบาลจะถูกโจมตีว่า “ถังแตก” ต้องการหาเงินจากคนจนที่เล่นหวย เอาไปทำโครงการประชานิยม โครงการประชารัฐเพื่อได้หน้าได้เครดิต
3. ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำในรายได้ “รวยกระจุก จนกระจาย” อยู่แล้ว ครั้งนี้รัฐบาลประยุทธ์ จะถูกกล่าวหาหนักขึ้นว่าได้สร้างความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้น
เพราะทุก 15 วันที่หวยออก จะมีคนที่ถูกกินรวมกันจำนวนมาก แต่มีผู้ถูกรางวัลจำนวนน้อย แล้วรัฐยังหักเป็นกำไรถึง 40% ของยอดขาย ซึ่งจะถูกกล่าวหาว่าเป็นการหาเงินจากคนจนไปใช้
4. การออกหวยทุกประเภท เป็นการพนันที่ทุก 15 วัน จะล้วงเงินจากกระเป๋าคนซื้อไปรวมกระจุกให้คนถูกรางวัลไม่กี่คน และอีกส่วนเป็นกำไรของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการ
5. รัฐบาลประยุทธ์ 1 ที่มาจากการยึดอำนาจ จะต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นผู้เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ สนง.สลากกินแบ่ง โดยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดที่แล้วอนุมัติ โดยมี นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ (ครูหยุย) เป็นประธานกรรมาธิการ ในที่สุดก็ได้เพิ่มอำนาจให้ สนง.สลากกินแบ่งสามารถออกสลากชนิดใหม่และสามารถเพิ่มจำนวนสลากเพิ่มเติมได้ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
สะท้อนว่ากรรมาธิการและ สนช. ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะไม่เห็นชอบ ข้อเสนอของ สนง.สลากกินแบ่งดังกล่าว อาจจะเพราะเกรงใจหรือเอาใจรัฐบาล คสช. ที่ได้ส่งร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเข้ามา กรรมาธิการและสนช. จึงได้เพียง
เพิ่มเติมให้มีการรับฟังความเห็นจากประชาชนก่อนดำเนินการ
สนช. บางคนได้ออกมาให้สัมภาษณ์เอาความดีใส่ตัวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เติมข้อความจากร่างกฎหมายเดิม โดยให้มีการรับฟังความเห็นจากประชาชนก่อน การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวจึงเป็นการให้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว เพราะ สนง.สลากกินแบ่ง โดย ครม.ประยุทธ์ ขอแก้ไขเพื่อเพิ่มอำนาจการออกหวยทั้งชนิดปริมาณ อุปมาเหมือนขอให้กฎหมายรองรับการใช้เข็มแทงเพื่อดูดเลือดประชาชน สนช. โดยกรรมาธิการชุดนี้ได้แต่เติมว่าจะแทงเข็มดูดเลือดได้ ต้องเอายาชามาทาก่อน
สนช. จึงต้องรับผิดชอบที่ออกกฎหมาย ยกอำนาจการออกหวยชนิดต่างๆ และเพิ่มปริมาณ ให้แก่ สนง.สลากฯ และ ครม. ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมและขาดวิสัยทัศน์ในการคุ้มครองเด็กและคนยากจน
6. การออกหวยในรูปแบบสัตว์ 12 ตัว โดยใช้แอพพลิเคชั่น สนง.สลากฯ อ้างว่าสามารถกำหนดให้
ผู้ใช้ต้องมีอายุมากกว่า 20 ปี
เรื่องนี้คงจะสามารถกำหนดแอพพลิเคชั่นได้จริง แต่การเพิ่มชนิดการพนันที่เป็นรูปสัตว์ด้วยแอพพลิเคชั่นก็สามารถเข้าถึงครอบครัวของเยาวชนได้ง่าย สิ่งแวดล้อมรอบตัวเยาวชนจะหล่อหลอมพฤติกรรม ค่านิยม ทัศนคติของเยาวชน เมื่อโตขึ้นก็จะเรียนแบบผู้ใหญ่ในเวลานี้
7. การใช้แอพพลิเคชั่นในการขายหวยเป็นของจำเป็น เหมาะสม เพราะเป็นการให้ผู้ซื้อสลากซื้อตรงกับ สนง.สลากฯ ในราคาตามที่กำหนด
แต่ควรจะได้ใช้แอพพลิเคชั่นกับสลากกินแบ่งรัฐบาลของเดิมที่พิมพ์จำหน่ายเป็นใบๆ ไม่ใช่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม การใช้แอพพลิเคชั่นจะสามารถคุมราคาขายใบละ 80 บาทได้ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำหน่ายสลากกินแบ่งอย่างทุกวันนี้ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลสามารถลดจำนวนสลากกลับไปเท่าเดิม (ปี 2557) คือ 37 ล้านฉบับต่องวดได้
การใช้แอพพลิเคชั่นจะทำให้รัฐมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อเพราะต้องกรอกเลข 13 หลัก ของบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้รัฐสามารถรู้ได้ว่าคนเล่นหวยมีเพศ อายุ การตั้งถิ่นฐานจังหวัดใด ทั้งนี้เพื่อหาทางลดพฤติกรรมการพนันได้ในอนาคต
ขณะนี้ สนง.สลากกินแบ่ง โดยคณะกรรมการ ได้ประกอบระเบิด คือ หวยรูปสัตว์ 12 ตัว เพื่อเสนอให้ ครม. เป็นผู้จุดระเบิด
ระเบิดลูกนี้คงมีคนบาดเจ็บล้มตายกันบ้าง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี