เมื่อสัปดาห์ก่อน “ที่นี่แนวหน้า” นำข้อห่วงใยของสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 25 ก.ค. 2562 เกี่ยวกับปัญหา “ผู้ต้องขังล้นเรือนจำ”โดยนำเสนอคู่กับความเห็นของอัยการและอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเด็นการจับกุม สอบสวนและประกันตัว ซึ่งเป็นที่มาของคนเกือบ 6 หมื่นราย ที่ถูกคุมขังระหว่างคดียังไม่สิ้นสุด และบางรายเป็นแพะเพราะศาลยกฟ้องหรืออัยการสั่งไม่ฟ้อง
ประเด็นดังกล่าวว่าแก้ยากแล้วเพราะเกี่ยวข้องกับขอบเขตอำนาจของหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจ อัยการ รวมถึงฝ่ายปกครองสังกัดกระทรวงมหาดไทย (เช่น นายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัด) แต่สิ่งที่จะกล่าวถึงในสัปดาห์นี้ต้องบอกว่าแก้ยากกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับทัศนคติของสังคมด้วย นั่นคือ “ระบบงานราชทัณฑ์และประวัติอาชญากรรม” ที่มีผลอย่างมากต่อการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้ว
7 ก.ค. 2562 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เสนอรายงานพิเศษ “How Norway turns criminals into good neighbours” (และเว็บไซต์ BBC ภาคภาษาไทย แปลไว้ในชื่อ “เรือนจำนอร์เวย์เผยเคล็ดลับเปลี่ยน ‘“อาชญากร” เป็น “เพื่อนบ้านที่ดี” ของชุมชน” วันที่ 10 ก.ค. 2562) บอกเล่าเรื่องราวของเรือนจำในประเทศนอร์เวย์ ที่ดูแล้วความเป็นอยู่แทบจะไม่ต่างจากโรงแรม เว้นแต่ผู้พักอาศัยไม่ได้รับอิสรภาพให้ออกไปภายนอกจนกว่าจะครบกำหนดโทษเท่านั้น
อาร์ ฮอยดัล (Are Hoidal) ผู้บัญชาการเรือนจำฮัลเดน (Halden Prison) บอกเล่ากับผู้สื่อข่าว BBC ที่เข้าไปดูงานว่า “ระบบงานราชทัณฑ์ของนอร์เวย์เริ่มเปลี่ยนแปลงจากแนวคิด “แก้แค้นให้สังคม” สู่แนวคิด “คืนคนดีให้สังคม” ในช่วงยุค 1990 (ปี 2533-2542)” แนวคิดใหม่นี้พยายามสร้างสภาพแวดล้อมในเรือนจำให้ใกล้เคียงสังคมปกติที่สุด เช่น ลดจำนวนชั่วโมงที่นักโทษถูกขังในแต่ละวันลงโดยส่งเสริมให้ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนหนังสือหรือฝึกอาชีพแทน ขณะที่ผู้คุมนอกจากทำหน้าที่รักษาระเบียบวินัยของเรือนจำแล้วยังต้องเป็นแบบอย่างและที่ปรึกษาที่ดีด้วย
พัศดีเรือนจำผู้นี้ ฝากคำพูดที่น่าคิดว่า “หากเราปฏิบัติต่อนักโทษไม่ต่างจากสัตว์ ก็เท่ากับว่าในวันหนึ่งเราจะต้องปล่อยสัตว์ร้ายกลับคืนไปสู่ละแวกบ้านของคุณ (If we treat inmates like animals in prison, then we will release animals on to your street.)” ซึ่งในอดีตนอร์เวย์มีปัญหาผู้พ้นโทษไปแล้วทำผิดซ้ำถึงร้อยละ 70 แต่ปัจจุบันพบผู้กระทำผิดซ้ำหลังพ้นโทษไปแล้วไม่เกิน 2 ปี เหลือร้อยละ 20 และหลังพ้นโทษไปแล้วไม่เกิน 5 ปี ร้อยละ 25
แน่นอนอาจจะมีผู้บอกว่าเมืองไทยคงทำไม่ได้เพราะไม่ใช่ประเทศร่ำรวย ซึ่งมุมหนึ่งก็เป็นความจริงเพราะรายงานข่าวข้างต้นของ BBC ผู้เกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ก็ยอมรับว่าระบบเรือนจำแบบนี้ค่าใช้จ่ายสูงมากและกังวลว่าหากเศรษฐกิจนอร์เวย์ไม่ดีระบบจะถูกลดคุณภาพลงหรือไม่ แต่อีกมุมหนึ่ง อย่างที่กล่าวไปตอนต้นเรื่องทัศนคติสังคม สำหรับคนไทยนั้นแม้กระทั่งการปรับปรุงเรือนจำให้มีสุขอนามัยพื้นฐานก็ยังรับกันไม่ค่อยได้
ย้อนไปเมื่อ 7 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ เคยเสนอข่าว “ไอลอว์ชี้แก้ปัญหาส่วยนักโทษต้องปรับปรุงสุขอนามัยคุก” กรณีที่ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน(iLaw) ไปกล่าวในงานเสวนา “ตามหาคน (โกง) หาย”เสนอแนะว่า หลักการของโทษจำคุกคือการจำกัดอิสรภาพไม่ให้สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี เป็นการทรมานจิตใจ แต่ไม่ใช่การทรมานร่างกาย
ดังนั้นปรับปรุงสุขอนามัยพื้นฐาน เช่น มีน้ำสะอาดได้รับการรักษาพยาบาล มีอาหารที่ไม่หรูหราแต่ต้องมีคุณค่าในระดับหนึ่ง ก็จะแก้ปัญหาการจ่ายผลประโยชน์เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษในเรือนจำได้ ผลคือ “มีความเห็นคัดค้านมากมาย” เช่นเดียวกันกับประเด็นประวัติอาชญากรรม “ประเทศไทยยังมีการกำหนดห้ามประกอบอาชีพสำหรับผู้เคยต้องโทษ อีกทั้งเป็นการห้ามอย่างไม่จำกัดเวลาและแทบไม่จำกัดประเภทความผิด” ตามที่เคยเสนอข่าว “ชี้กฎหมายไทยตอกย้ำอคติ “คนคุก” ไม่รับเข้าทำงาน-บีบจนตรอกเสี่ยงทำผิดซ้ำ” ไปเมื่อ 25 ม.ค. 2560
ข่าวที่สองนี้อ้างถึงการประชุมขับเคลื่อนเชิงนโยบายเรือนจำสุขภาวะ ครั้งที่ 2 เรื่อง “สานพลังชุมชนเพื่อคืนคนดีสู่สังคม แต่กฎหมายกลับห้ามคนพ้นโทษทำงาน” โดยนักวิจัยจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กุลภา วจนสาระ ยกตัวอย่างตั้งแต่เจ้าหน้าที่รัฐทุกประเภท ไปยังบรรดาอาชีพที่ยึดถือ “เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ” อย่างแพทย์และทนายความ ล้วนห้ามไว้ทั้งสิ้น ในขณะที่บางอาชีพ เช่น คนขับรถสาธารณะ (อาทิ ขับแท็กซี่-มอเตอร์ไซค์รับจ้าง) กฎหมายให้ทำได้หากพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี
ซึ่งในงานเดียวกัน รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์ ตั้งข้อสังเกตถึงอาชีพ “นวดแผนไทย” ที่ขณะนั้นมีกฎหมายใหม่ออกมาคือ พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 กำหนดว่า “ผู้จะเป็นพนักงานนวดต้องพ้นโทษมาไม่น้อยกว่า 1 ปี และห้ามผู้เคยต้องโทษเป็นผู้จัดการร้านหรือเจ้าของร้านตลอดชีวิต”เพราะเป็นข้อห้ามที่ไม่เป็นธรรม “แม้มีประสบการณ์นวดมาเป็นสิบปีจนสามารถตั้งกิจการได้ก็ไม่มีช่องทางจากกฎหมายฉบับนี้” และกังวลว่า “ถ้าอาชีพนี้ออกข้อห้ามได้ อาชีพอื่นๆ จะทำได้บ้างหรือไม่” กลายเป็นตั้งแง่กีดกันไปเรื่อยๆ
ล่าสุดแม้จะมีรายงานเมื่อ 16 เม.ย. 2562 ว่ามีการออก พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2562 สาระสำคัญคือ “ตัดข้อห้ามของพนักงานนวดเรื่องต้องพ้นโทษมาไม่น้อยกว่า 1 ปีออก แต่ยังไม่ได้แก้ไขเรื่องการห้ามเป็นผู้จัดการหรือเจ้าของร้านแบบตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต” ทั้งนี้ในงานประชุมเรือนจำสุขภาวะข้างต้นมีการเปิดเผยว่า นวดแผนไทยเป็นวิชาชีพที่ผู้ต้องขังหญิงนิยมเรียนมากที่สุด ส่วนการศึกษาระดับปริญญาตรีที่กรมราชทัณฑ์ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) พบว่า ผู้ต้องขังนิยมเรียนคณะนิติศาสตร์มากที่สุด
รวมถึง “การสร้างระบบดูแลผู้ที่เพิ่งถูกปล่อยตัว”ในงานเสวนา “ประวัติอาชญากรรม : จำกัดสิทธิคนหรือเพื่อสังคมที่ปลอดภัย” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ประวัติอาชญากรรม!!! ตราบาปจองจำ “คนมีอดีต”-นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 23 ม.ค. 2560) รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยกตัวอย่าง ฝรั่งเศส ที่มีระบบคุมประพฤติ ว่า “งานคุมประพฤติของฝรั่งเศสทำทั้ง 2 ด้าน คือควบคุมและช่วยเหลือ” โดยศาลจะสั่งให้มารายงานตัวเป็นระยะๆ พร้อมกับสอบถามว่ามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร มีงานทำหรือไม่ เป็นต้น
แต่ทั้งหมดคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบใดที่สังคมไทยยังยึดหลักคิด “แก้แค้น-ตาต่อตาฟันต่อฟัน” เป็นสรณะ ดังที่ผ่านมาใครเสนอแนะสิ่งที่ว่ามานี้ ก็มักจะถูกคัดค้านทำนอง “ให้ลำบากและไม่มีอนาคตแบบนี้ดีแล้ว..คนจะได้ไม่กล้าทำผิด” อยู่ร่ำไป!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี