แม้รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ออกมา เมื่อปลายปี 2561 จะระบุว่าอันดับการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทยลดลงมาอยู่ที่อันดับ 9 ของโลก..จากเดิมอันดับ 2 ของโลกในปี 2558 แต่ก็ยังถือว่ารุนแรง โดยเฉพาะด้วยความที่คนไทยใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง เมื่อเกิดอุบัติเหตุจึงมีความสูญเสียตามมาได้ง่ายด้วยเพราะเครื่องป้องกันมีน้อยกว่ารถยนต์ อย่างไรก็ตาม หากจะพูดถึงอุบัติเหตุบนท้องถนน คงไม่อาจจะกล่าวโทษเพียงชนิดของยานพาหนะหรือพฤติกรรมการขับขี่ของคนได้เพียงฝ่ายเดียว
“ถนน (รวมถึงสิ่งแวดล้อมข้างทาง)” เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เอื้อต่อการเกิดอุบัติเหตุไม่ยิ่งหย่อนไปว่ารถและคน หากแต่ไม่ค่อยถูกพูดถึงบนหน้าสื่อมากนัก หนังสือ “คู่มือการจัดการจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน” ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และมูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย (มนป.) เมื่อปี 2558 บอกเล่าถึง “จุดเสี่ยง” ที่ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน อาทิ
1.โค้งหักศอก พบได้ทั่วไปไม่ว่าถนนในเมืองนอกเมือง หรือในชุมชน ผู้ขับขี่จะมองไม่เห็นอีกด้านว่าจะมีรถแล่นสวนมาหรือไม่ หรือมีลักษณะพร้อมจะทำให้รถซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงหลุดโค้งได้ คนไทยนิยมเรียกโค้งเหล่านี้ด้วยชื่อเล่น “โค้งผีสิง-โค้งร้อยศพ” เพราะมีผู้มาสังเวยชีวิตเป็นระยะๆ หลายแห่งมีการนำศาลเพียงตาไปตั้ง หากมีต้นไม้ก็นำผ้าสามสีไปผูก ด้านหนึ่งถูกเล่าขานในเชิงเรื่องลี้ลับทำนอง “ผีตัวตายตัวแทน” แต่บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็น “กุศโลบายให้ผู้ขับขี่ชะลอความเร็ว” รวมถึงบีบแตรดังๆ ให้รถที่แล่นสวนมาจากอีกฝั่งได้ยินก็เป็นได้
2.ทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟ เป็นอีกสิ่งที่พบได้ทั่วไปไม่ว่าถนนในเมือง นอกเมือง หรือในชุมชน ลักษณะเป็นสามแยกบ้าง สี่แยกบ้าง คนไทยตั้งชื่อเล่นให้แยกเหล่านี้ว่า “แยกวัดใจ” เพราะไม่มีสัญญาณไฟจราจร หรือหากมีบางจุดก็ไม่เปิดใช้แบบเขียว-เหลือง-แดง แต่เปิดเป็นไฟกะพริบสีเหลืองเฉยๆ โดยเฉพาะถนนเชื่อมระหว่างเมืองในเวลากลางคืน ลำพังคนพื้นที่ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะไม่รู้ว่ารถที่มาจากทางอื่นจะหยุดให้ไปหรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นคนต่างถิ่นขับขี่ยานพาหนะผ่านมา ความไม่ชินทางยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเป็นทวีคูณ
3.ทางแยกที่ตั้งอยู่หลังเนินสูง พบได้บางจุดในถนนที่เชื่อมระหว่างเมือง รถที่กำลังขับขึ้นเนินจะมองไม่เห็นแยกที่รออยู่อีกฝั่ง เช่นเดียวกับแยกวัดใจในข้อที่แล้ว “หากเป็นคนพื้นที่อาจยังพอระมัดระวังได้ แต่ถ้าเป็นคนต่างถิ่นไม่คุ้นชินเส้นทาง ขับลงเนินมาด้วยความเร็วสูงก็คงต้องบอกว่าตัวใครตัวมัน” อนึ่ง นอกจากเนินตามธรรมชาติแล้ว สะพานสูงที่มนุษย์สร้างขึ้นก็อาจทำให้มองไม่เห็นทางแยกอีกฝั่งได้เช่นกัน
4.ไม่มีป้ายเตือน พบได้ในถนนนอกเมือง รวมถึงถนนสายรองในชุมชน ผู้ใช้รถใช้ถนนอาจไม่รู้ว่าข้างหน้ามีทางแยกหรือจุดเสี่ยงอื่นๆ ทำให้ไม่เพิ่มความระมัดระวัง หรือหลายจุดมีป้ายแต่ป้ายอยู่ในสภาพชำรุด เช่น ป้ายหักสีบนป้ายซีดจาง ตลอดจนมีวัตถุอื่น เช่น พุ่มไม้ กิ่งไม้ป้ายโฆษณาต่างๆ ไปบดบังจนมองไม่เห็นหรือเห็นไม่ถนัด5.สภาพของถนน พบได้ทั่วไปไม่ว่านอกเมืองหรือในเมืองเช่น ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ฝาท่อระบายน้ำที่ต่ำหรือสูงกว่าผิวถนน เป็นอันตรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ขี่มอเตอร์ไซค์
6.ขอบทางที่ไม่เท่ากัน พบได้ตามถนนสายรองหรือถนนในชุมชนบางแห่ง เช่น การก่อสร้างสะพานที่ทำพื้นที่ทางเท้าของสะพานกว้างกว่าทางเท้าของถนน หรือการก่อสร้างท่อระบายน้ำลอดใต้ถนนที่ขอบทางถูกเฉือนให้แคบลงในจุดนั้น เป็นอันตรายกับการใช้รถใช้ถนนในยามค่ำคืน เนื่องจากเป็นจุดเล็กๆ มองเห็นได้ลำบาก หากผู้ขับขี่ไม่คุ้นชิน ขับขี่ชิดขอบทางมาเจอจุดดังกล่าวถ้าไม่หักหลบก็ชนขอบทางเท้าสะพาน-ตกคูน้ำที่เป็นแนวท่อ แต่ถ้าหักหลบก็อาจไปชนกับยานพาหนะอื่นๆ ที่แล่นสวนมา
หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวอย่างความพยายามของชุมชนหลายแห่ง ที่คนในชุมชนบ้าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บ้าง ลุกขึ้นมาแก้ไขจุดเสี่ยงด้วยตนเอง อาทิ “ชุมชนท่าขอนยาง” จ.มหาสารคามนำป้ายเก่าที่ไม่ใช้มาทำเป็นป้ายเตือนทางแยก ติดตามทางแยกต่างๆ ในชุมชน ทาสีเสาไฟฟ้าเป็นลายขาว-แดง บริเวณแยกที่มีสิ่งก่อสร้าง (เช่น บ้านเรือน) บดบัง เพื่อเตือนว่าข้างหน้ามีทางแยก
“ชุมชนบ้านดอนนา” จ.มหาสารคาม ชาวบ้านช่วยกันตัดถางพุ่มไม้ที่บังแนวโค้งออก โดยมาช่วยกันในวันสำคัญต่างๆ ที่ชาวชุมชนมีกิจกรรมร่วมกัน นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินที่ติดกับโค้งช่วยตัดถางพุ่มไม้ออกอีกทางหนึ่ง “องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) กุดรัง” จ.มหาสารคาม นำกรวยและป้ายเตือนมาตั้งบริเวณปากถนนเข้าชุมชนที่เชื่อมกับถนนสายหลักเพื่อเตือนทางแยกอันตราย “เทศบาลนครขอนแก่น” จ.ขอนแก่น มีการทาสีเหลืองลายทแยงเป็นกรอบสี่เหลี่ยมกลางแยกต่างๆ ในชุมชน เพื่อให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะเห็นได้ชัดเจน
“องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) พลับพลาไชย”จ.สุพรรณบุรี แก้ไขทางแยกที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยระยะแรกทาสีสะพานเป็นลายขาว-แดง เพื่อให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะมองเห็นได้ชัดเจนแต่ไกลว่ามีทางแยกอยู่ข้างหน้าต่อมาก็ค่อยๆ เพิ่มกรวยแบ่งช่องจราจร ป้ายจราจรแบริเออร์แบบถังพลาสติกบรรจุน้ำให้เห็นช่องจราจรและแยกชัดเจน รวมถึงไฟกะพริบเตือนว่าเป็นทางแยก นอกจากนี้ยังติดกระจกนูนตามถนนในชุมชนต่างๆ และทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รถที่แล่นผ่านโค้งหักศอกมองเห็นรถที่แล่นสวนมาจากอีกฝั่ง
“ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องของถนนกับอุบัติเหตุมานำเสนอในสัปดาห์นี้ ก็เพื่อหวังให้ทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันว่า เราคงไม่อาจคาดหวังให้ทุกคนขับขี่ด้วยทักษะระดับเชี่ยวชาญและความระมัดระวังระดับเยี่ยมยอด หรือคาดหวังว่าสภาพรถจะต้องมีความแข็งแรงและอุปกรณ์นิรภัยดีเยี่ยม “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดพลาดได้เสมอ” โดยเฉพาะมนุษย์ชาวไทยผู้อยู่อาศัยใน “สังคมรถส่วนตัว”ต้องซื้อรถยนต์บ้าง มอเตอร์ไซค์บ้าง ซึ่งก็มีทั้งรถมือ 1มือ 2 รถหรูไปจนถึงรถเก่าวิ่งปะปนกัน คนขับก็มีตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงไม้ใกล้ฝั่ง เศรษฐีผู้มั่งมีไปถึงรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ
“คนเยอะ-รถแยะ” อุบัติเหตุจะมากกว่าประเทศที่ผู้คนใช้ขนส่งสาธารณะเป็นหลักย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกซึ่งนอกจากการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงแล้ว การปรับปรุงสภาพถนนและสิ่งแวดล้อมข้างทางควบคู่กันไป ก็จะช่วยลดอุบัติเหตุ รวมถึงลดความสูญเสียกรณีเกิดเหตุขึ้นแล้วได้อีกทางหนึ่ง!!!
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดหนังสือ “คู่มือการจัดการจุดเสี่ยงทางถนนในชุมชน” ฉบับเต็มได้ที่ http://resource.thaihealth.or.th/library/hot/15278
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี