“บุคคลแนวหน้า” ใน “หนังสือพิมพ์แนวหน้า” อุดมการณ์ มั่นคง ตรงไป ตรงมา ฉบับนี้“ไม้หน้าสาม” ประจำการเคาะข่าวร้อนในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางฝุ่นควันปกคลุมไปทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งเป็นมลพิษ “PM2.5” ส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนโดยตรง แต่มลพิษทางการเมืองหนักหนาสาหัสกว่า โดยเฉพาะพวกนักการเมืองปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เดินเกมพลิกฟ้าด้วยฝ่ามือ สร้างความสับสนให้กับบ้านเมือง ปลุกปั่นสร้างความแตกแยกเห็นเค้าลางแล้วชวนให้ขนหัวลุก ก่อนไปขยี้แก๊งชังชาติ กรมควบคุมมลพิษ รายงานข้อมูลคุณภาพอากาศ ประจำวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5ตรวจวัดได้ระหว่าง 13-43 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทุกพื้นที่ คุณภาพอากาศในภาพรวมอยู่ในระดับดีถึงดีมาก...
nn ฝ่ายค้านหากยังเล่นการเมืองเยี่ยงนี้ ระวัง!! จะไม่มีแผ่นดินกลบหน้า ค้านตะบันไปทุกประเด็นทุกโครงการ ใจแคบแม้แต่เรื่องผลประโยชน์ของประชาชน ยังพยายามบิดเบือนกล่าวหาให้ร้ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา เช่น ปัญหาฝุ่นละอองก็ออกมาด่ารัฐบาลแบบไร้เหตุผล ทั้งที่ปัญหาเหล่านี้ ต่อให้“ทักษิณ ชินวัตร” นักการเมืองหน้าเหลี่ยมขี้ฉ้อโกงชาติโกหกหลอกลวงประชาชนว่าจะแก้ปัญหาจราจรให้ได้ภายใน 6 เดือน สุดท้ายขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี มันก็ไม่สามารถสะสางปัญหาจราจรได้ รวมถึงไฟใต้ที่อดีตนายกฯทักษิณไปเติมเชื้อเติมไฟ ใช้กำลังทหารยิงถล่ม “มัสยิดกรือเซะ” เพราะปรามาสว่า “โจรกระจอก” สิ่งเหล่านี้คือความอัปยศที่อดีตรัฐบาลเติมเชื้อเติมไฟไว้ทั้งสิ้น 7 พรรคฝ่ายค้านต้องกลับไปทบทวนเปิด “กูเกิ้ล-Google” อย่างที่สอนลูกมาอ่านรายละเอียดในช่วงนั้นกันให้ดีๆ อย่าเล่นการเมืองแบบตีหัวเข้าบ้าน...
nn“ชิม ช้อป ใช้” คือหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และแน่นอนเป็นการแบ่งเบาภาระประชาชนในยามที่เศรษฐกิจถดถอยกำลังซื้อหดหาย “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์”ประธานยุทธศาสตร์เพื่อไทย ก็ออกมากล่าวหาว่านโยบายนี้เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจเจ้าสัวไม่กี่ราย ประชาชนไม่ได้อะไร เช่นเดียวกับโฆษกพรรคอนาคตใหม่ “ช่อส้มหวาน-พรรณิการ์ วานิช” สาวคอสั้นตะเกียกตะกายสวมบทบาทเป็นคุณครูให้คะแนนนโยบายนี้จากคะแนนเต็ม 100 ครูช่อให้แค่ 2 คะแนน พร้อมถล่มว่าเป็น “นโยบายสิ้นคิด” ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และบ้านเมือง ทั้งที่นโยบายนี้มีประชาชนได้รับประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จะสังเกตได้ว่ามีร้านค้าขนาดเล็ก ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารริมทาง โอท็อป วิสาหกิจชุมชนได้รับอานิสงส์กันทั่วหน้า ทว่า 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านกลับ “มุสาคำโต” บิดเบือนข้อมูลด้วยความเคยชินตามสันดานเดิมเพื่อหวังผลทางการเมือง ส่วนฝ่ายค้านในอดีตไม่นานมานี้สร้างความเสียหายให้กับแผ่นดินทุจริตเชิงนโยบายสร้างภาระหนี้สินแผ่นดินนับแสนล้านไม่เคยนำพา ไม่เคยพูดถึงเรื่องจริยธรรมนักการเมือง แถมท้ายด้วยการว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์มาสร้างมลทินให้แก่ผู้นำประเทศที่เดินทางไปสร้างความมั่นใจไปสร้างโอกาสให้แก่ประเทศชาติและประชาคมในภูมิภาคนี้ถึงสหรัฐอเมริกา พอโดนจับได้ ก็กระทำเยี่ยงอาชญากรทั่วไปปฏิเสธเสียงแข็งปัดสวะอย่างกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. ที่ไม่มีการโอนเงินเข้า “กองทุนบลายด์ทรัสต์” ตามที่เคยสำรอกใหญ่โตผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง พอความจริงกระจ่างว่าแค่วาทกรรม “มุ่งสร้างการเมืองที่โปร่งใส” ทั้งที่ไม่ได้กระทำอย่างที่สำรอก กลับกล่าวหาสำนักข่าวสำนักหนึ่งจ้องทำลายทางการเมือง...
nn ซ้ำยังพยายามจะช่วยเหลือคนหน้าเหลี่ยมอดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยการผลักดันให้แก้ไขรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ทั้งฉบับ...
nn ภารกิจสำคัญของพรรคฝ่ายค้านคือการเดินสายปลุกระดมแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องถามกันตรงๆ ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วกว่า 10 ล้านเสียง ฝ่ายค้านอาศัยความชอบธรรมอะไรมาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับและที่สำคัญเลิกเถอะ ... เลิกโกหกเสียทีว่าแก้รัฐธรรมนูญแล้วจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น แท้จริงแล้ว นักการเมืองน้ำเน่า-นักเลือกตั้งกับนักสร้างวาทกรรม หวังผลอะไรกันแน่กับดีลนี้ เพราะเนื้อแท้ของนักการเมืองก็หวังจะกอบโกยผลประโยชน์ให้กับพรรคพวกตัวเอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง โดยที่ประชาชนเขาไม่ได้เรียกร้องอะไรกับจุดนี้ แต่ปลุกเร้าจนเกิดกระแสเกิดค่านิยมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองและพวกพ้อง โดยผลักดันและโยนบาปให้ “คสช.และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”เป็นคนติดหนวด “แพะทางการเมือง” เพราะสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศเผชิญอยู่เบื้องหน้าคือ ปัญหาปากท้อง...
nn น่าสนใจตรงที่พรรคแกนนำฝ่ายค้าน “เพื่อไทย” กลายเป็นติ่งการเมืองให้พรรคอนาคตใหม่สั่งการซ้ายหันขวาหัน แม้แต่ส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ก็ยังให้สิทธิ์ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ชิงเก้าอี้นายกฯแทน หมดท่าไม่สมราคากับพรรคขนาดใหญ่ที่อดีตเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลมาหลายสมัย ถึงวันนี้ต้องมาเดินตาม “ก๊วนนิติราษฎร์-ธนาธร-*ปิยบุตร แสงกนกกุล”ที่เคยออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยกเลิก “กฎหมายอาญา มาตรา 112”อันเป็นบทลงโทษในฐานความผิดเกี่ยวกับการจาบจ้วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง”...
nn ล่าสุดไปเปิดเวทีที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รณรงค์กันเต็มที่ว่าต้องรื้อแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ รวมไปถึงยังมีวิทยากรบางคนปลุกเร้าให้ “ยกเลิกราชอาณาจักร” ในมาตรา 1ที่บัญญัติให้ “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้” สอดรับกับ “พรรณิการ์ วานิช” โทรโข่งคอระหงส์แก๊งอนาคตใหม่ ขึ้นเวทีปราศรัยที่อีสานโจมตีว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้“เฮงซวย” ทุกมาตรา...
nn แม้ว่าที่ผ่านมาบางพรรคเช่นพรรคเพื่อไทยเคยประกาศไปแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จะไม่แตะต้อง “หมวดพระมหากษัตริย์” ทว่าระยะหลังกลับเดินลุยถั่วไป พรรคอนาคตใหม่ที่เดินหน้าแก้ไขทั้งฉบับ จับได้ไล่ทันจะพบว่าพรรคการเมืองที่ทุศีลข้อ 4 “มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ” มากที่สุด คงไม่พ้นน้ำเน่าขวดใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ ธนาธรเดินสายไปพบปะกับสื่อมวลชนกับ7 พรรคฝ่ายค้าน ยืนยันว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่แตะต้องหมวด 1 และ 2 ผ่านมาแค่เพียง 3-4 วัน ก็ไปปลุกระดมให้แก้ไขทั้งฉบับ ซ้ำยังร่วมกันโฟกัสที่มาตรา 1 อีกด้วย...
nn สังคมไทยไม่ลืม ชนวนเลือดที่นำไปสู่ความตายและหายนะของบ้านเมืองก็คือการลักหลับแก้ไขรัฐธรรมนูญของอดีตรัฐบาลที่อาศัยเสียงข้างมากลากไป เพียงเพื่อหวังจะช่วย “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตรกลับมาเมืองไทยโดยไม่ต้องรับโทษหรือต้องอาญาจากการทุจริตโกงบ้านกินเมือง ด้วยการออก “พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย” และหนึ่งในจักรเฟืองที่ร่วมกันสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่นำไปสู่ความรุนแรง ทำให้บ้านเมืองเสียหายร้าวลึกก็คือแกนนำบางคนของพรรคอนาคตใหม่...nn น่าสนใจตรงที่คนอย่างธนาธร ประกาศจะทำการเมืองใหม่ สร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ต่างจากนักการเมืองน้ำเน่าอย่างทักษิณ ชินวัตร ที่ร่ำรวยประสบความสำเร็จ สุดท้ายก็เข้ามากอบโกย “ส้มหวานฤๅกำลังจะเป็นส้มเน่า” เพราะหัวหน้าพรรคพูดจาเชื่อถือมิได้ ขายฝันไปวันๆ แค่การโอนทรัพย์สินของไพร่หมื่นล้านที่ถือหุ้นธุรกิจเครือซัมมิทมูลค่า 5 พันล้านบาท ที่สู้อุตส่าห์ลวงโลกหลอกคนไทยลงนามทำเอ็มโอยูใช้แนวทาง Blind Trust ตั้งแต่ก่อนการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจวบจนวันนี้ ยังส่ายหางเห่าหอนไม่ทำอะไรเลยดีสุดแค่เอาอีเมลส่วนตัวที่ชี้แจงทางบลายด์ทรัสต์ถึงเหตุที่ไม่ดำเนินการตามเอ็มโอยูก็เพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ สส.เลยไม่มีเหตุต้องดำเนินการตามเอ็มโอยู...
nn “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เตรียมยื่นอัยการสูงสุด เพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่ง “ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์” และ 7 พรรคฝ่ายค้าน เลิกการรณรงค์แก้ไขมาตรา 1 ชี้สุ่มเสี่ยงขัด รธน.เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง โดยระบุว่า “ประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องมีรัฐเดี่ยวหรือแบบรวมศูนย์ ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตราที่ 1 ด้วยก็ได้” จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้นั้น การกระทำของ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ ซึ่งหมายรวมถึง 7 พรรคฝ่ายค้านในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 1 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.113 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต” ถึงชั่วโมงนี้“ไม้หน้าสาม” เห็นว่าอาการเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคประหนึ่งคนกำลังใกล้ตาย จึงพยายามดิ้นเฮือกสุดท้าย ทำทุกวิถีทางให้บ้านเมืองนี้มันวุ่นวายเข้าว่า สุดท้ายคงหนีไม่พ้นม็อบข้างถนนเดินตามก้นทักษิณ บ้านเมืองนี้มันช่างเศร้าจับใจจริงๆ ถ้าเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 5 สามพราน นครปฐม เป็นเสมือนประชามติว่าสังคมต้องการหรือไม่ต้องการพลเอกประยุทธ์และพรรคร่วมรัฐบาลดั่งวาจาที่ “ช่อส้มหวาน” สำรอกออกมา คนเขต 5สามพราน นครปฐม มาลงประชามติกันเถิดว่า จะเอา “จัญไร” ที่คิดยกเลิกราชอาณาจักรไทย เป็นรัฐเดียวที่แบ่งแยกมิได้ แล้วแก้ไขให้เป็นสมาพันธรัฐ โดยยกเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้มาเป็นข้ออ้างหรือไม่ถ้าไม่ต้องการแบ่งแยกราชอาณาจักรไทยก็ต้องกากบาทให้รู้สำนึกกันไปเลย แต่บางทีอาจจะต้องหาจิตสำนึกให้เช่ามาให้คนเยี่ยงนี้เช่าบ้างเสียแล้ว...
nn“กรมตำรวจ” ในอดีต “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)” ในปัจจุบันแตกต่างกันมากในอดีตประชาชนทุกชนชั้น ชอบตำรวจให้เกียรติตำรวจ ประชาชนส่วนใหญ่มีลูกหลานต้องการให้เป็น“ตำรวจ” จะเสียเท่าไหร่ก็ยอม คนจีนบางคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยพยายามวิ่งเต้นให้ลูกหลานเป็นคนไทยเมื่อโตขึ้นพยายามวิ่งเต้นให้เข้าตำรวจ มีทั้งสอบเข้าและยัดเยียดเข้าด้วยการใช้เบี้ยเปิดทาง จนเป็นใหญ่เป็นโตเพื่อใช้ตำแหน่งค้ำจุนธุรกิจของครอบครัว “กรมตำรวจ” ถูกยึดหน่วยงานสำคัญนำไปแปรรูปเพื่อเปิดทางให้นักธุรกิจที่เข้ามาประกอบกิจการขนส่งให้สะดวกในการประกอบการทุกกรณีด้วยการวิ่งเต้นขอให้รัฐฯโอน “กองทะเบียนกรมตำรวจไปขึ้นตรงกับ” กระทรวงมหาดไทย และอีกส่วนหนึ่งแยกไปขึ้นตรงกับ “กรมการขนส่งทางบก” สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับ “กรมตำรวจ” ยื่นชิ้นปลามันไปให้หน่วยงานอื่นจะด้วยสาเหตุอะไรมิทราที่สำคัญการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจแต่ละครั้งจะมีบุคคลภายนอกแม้กระทั่งเจ้าสัวสามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร.ได้มา 2 ท่านแล้วตำรวจถูกบีบคั้นจากอำนาจหน่วยงานสำคัญภายนอกตลอดเวลาแม้กระทั่งนายตำรวจคนดังพยายามยึดอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายมาจัดทำเสียเองโดยนำ ม.44 มาใช้โดยไม่ต้องเกรงกลัวหลักเกณฑ์และกฎหมาย ที่มีอยู่เลย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา มีตำรวจระดับนายพลจนถึงชั้นประทวนลาออกจากการเป็นตำรวจจำนวน 933 นาย ซึ่งประวัติศาสตร์ของอดีตและปัจจุบันไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาเลยบางคนขอลาออกด้วยเหตุผล “ไม่ศรัทธาและไม่อยากเป็นตำรวจอีกต่อไป”แสดงว่าตำรวจเองเขาเห็นความเสื่อมความตกต่ำกำลังเกิดขึ้นในหน่วยงานอันทรงเกียรติของประเทศพวกเขาทนไม่ได้ที่ผู้บริหารปล่อยให้คนนอกเข้ามามีส่วนในการแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” การแต่งตั้งโยกย้ายไม่ได้ยึดผลงานแต่ยึดหลัก “ค่าของคนต้องเป็นคนของตู” เท่านั้นเมื่อสถานการณ์ของ (สตช.) ไม่มีระเบียบหลักเกณฑ์ในการรับราชการ ประชาชนจะไม่ได้รับความยุติธรรม ผู้บริหารระดับสูงพวกท่านรู้กันบ้างหรือไม่ขณะนี้แผนกจิตเวชของโรงพยาบาลตำรวจมีคนไข้เกี่ยวกับจิตเวชเข้ามารับการรักษาในวันหนึ่งประมาณ 50 กว่าคนและจะมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 4 ปีที่ผ่านมามีเพียงวันละ 10 กว่าคนเท่านั้น ระวังตัวกันบ้างก็แล้วกันตำรวจมีปืนพกกันทั้งนั้น “วูบหนึ่งของอารมณ์พวกท่านไม่สามารถปฏิเสธความตายได้” เคราะห์ซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
ไม้หน้าสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี