วันที่ 10 ต.ค. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีพาสปอร์ตทักษิณ ที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นจำเลย
นั่นคือ คดีดําที่ อม.อธ.3/2561
ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในความผิดตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 123/1
ต่อมา นายสุรพงษ์ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ
1.น่าสนใจว่า จนถึงวันนี้ นายสุรพงษ์ อยู่ที่ไหนแล้ว?
ยังสบายดีอยู่ หรือไม่?
จะเดินทางไปฟังคำพิพากษา หรือไม่?
ถ้าเดินทางไปฟังคำพิพากษา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกฝ่ายเพราะกรณีคดีที่แกนนำพันธมิตรฯ กปปส. ตกเป็นจำเลย และมีคำพิพากษา ก็ไม่มีใครหนีคดีไปไหน
แต่ถ้าหลบหนี ก็คงจะต้องหนีตลอดชีวิต ไม่มีอายุความ
2.เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาไปนั้น
มีประเด็นสำคัญหลายประการ
น่าติดตามว่า คำพิพากษาอุทธรณ์ จะออกมาอย่างไร?
จะยืนตามศาลฎีกาฯ เดิม หรือจะแก้ไขไปในทิศทางไหน อย่างไร?
2.1 ประเด็นวินิจฉัยสำคัญว่า นายสุรพงษ์กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่?
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า นายทักษิณนั้น ถูก กต.มีคำสั่งเพิกถอนพาสปอร์ต ซึ่งคำสั่งมีสภาพโดยสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาจำคุกในคดีที่ดินรัชดาฯ และยังเป็นผู้ต้องหามีหมายจับคดีอาญาอื่นๆ อีก
การกระทำของนายสุรพงษ์ที่เซ็นเกษียณคำสั่งการเสนอพิจารณาออกหนังสือเดินทางทั่วไปสำหรับบุคคลธรรมดาให้กับนายทักษิณใหม่ ในเวลาเร่งรีบรวบรัดเพียง 2 วันโดยไม่ตรวจสอบ หลังยื่นคำร้องจากเมืองอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2554 เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบ กต.ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทางทั่วไป พ.ศ.2548 และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และประมวลกฎหมายอาญา
2.2 คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ระบุด้วยว่า กรณีของนายทักษิณ เมื่อศาลมีคำพิพากษาและออกหมายจับแล้ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มีหนังสือแจ้งมาที่ กต. เพื่อให้กระทรวงนำข้อมูลบุคคลต้องห้ามออกหนังสือเดินทางบันทึกในระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวง ซึ่งนายทักษิณมีหมายจับคดีอาญาอื่น รวมทั้งหมายจับที่เคยกล่าวหาในคดีก่อการร้าย โดยข้อมูลในบันทึกจะนำมาเป็นส่วนพิจารณา โดยการปลดล็อกรายชื่อจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ที่มีรายชื่อต้องห้ามนำหลักฐานจากส่วนราชการ พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนมายืนยันว่าพ้นจากหมายจับและข้อกล่าวหาในทุกคดีแล้ว
กรณีของนายทักษิณ ยังไม่เคยปรากฏข้อเท็จจริงใดๆว่ามีหนังสือจากราชการแจ้งพ้นจากหมายจับในคดีนั้นๆ แล้ว ขณะที่การประชุมเพื่อพิจารณาออกหนังสือเดินทาง ก็พิจารณาและเสนอให้นายสุรพงษ์ลงนามภายในวันเดียว ทั้งที่มีพยานให้ความเห็นยืนยันตามความเห็นเดิมไว้แล้วว่า กรณีของนายทักษิณไม่สามารถออกหนังสือเดินทางได้ และยังไม่มีการปลดล็อกรายชื่อออกจากระบบคอมพิวเตอร์
กระทำการรีบเร่ง อย่างมีพิรุธ ทั้งที่ยังไม่ได้รับโทรเลข เพียงแต่พิจารณาไปโดยที่ได้รับความคำร้องจากนายทักษิณที่ตัวอยู่ต่างประเทศ และไม่ได้ตรวจสอบให้ครบถ้วน ทั้งที่มีข้อมูลของนายทักษิณเก็บเป็นแฟ้มไว้เป็นเฉพาะบุคคล อีกทั้ง นายสุรพงษ์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนก็นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการตัดสินคดีและการออกหมายจับนายทักษิณ ดังนั้น นายสุรพงษ์ย่อมรับทราบข้อมูลอยู่แล้ว
นอกจากนี้ การที่นายสุรพงษ์ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2554ว่าจะพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสและปีใหม่ให้นายทักษิณนั้น ก็เป็นเรื่องที่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ทั้งที่มีการพิจารณาออกหนังสือเดินทางไปนานแล้วเกือบ 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2554
2.3 ศาลฎีกาฯ ได้ชี้ว่า การที่ กต.ออกหนังสือเดินทางประเภทบุคคลทั่วไปแก่นายทักษิณ เท่ากับว่า นายสุรพงษ์ในฐานะรัฐมนตรีกระทำการสนับสนุนช่วยเหลือนายทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและหลบหนีหมายจับในคดีข้อหาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ สามารถเดินทางในต่างประเทศได้โดยสะดวก อยู่ในต่างประเทศโดยไม่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลไทยไม่อาจขอให้รัฐบาลประเทศนั้นขับออกจากประเทศ หรือส่งผู้ร้ายข้ามแดนอันเนื่องจากเหตุที่ไม่มีหนังสือเดินทางได้ ส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมและคำพิพากษาของศาลยุติธรรมไทยอ่อนแอ และไม่มีสภาพบังคับตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังส่อให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของไทยในสายตาประชาคมโลก ซึ่งกระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับนายทักษิณอันเป็นการกระทำโดยมิชอบและโดยทุจริต
2.4 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากพิพากษาว่า นายสุรพงษ์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
จำคุก 2 ปี
และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำความผิดของนายสุรพงษ์ มีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
3.“กัมมุนา วัตตติ โลโก” - สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
ปัจจุบัน นายสุรพงษ์ อายุ 64 ปีแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ข้อยกเว้นว่าจะไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง
จำได้ว่า ขณะกระทำการนั้น นายสุรพงษ์แสดงท่าทีองอาจ มุ่งมั่น ยืนกรานเสียงแข็ง ท้าทายสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยี่หระเอาเสียเลย
ไม่ว่าสุดท้าย ศาลจะพิพากษาชี้ขาดอย่างไร ทุกฝ่ายจะต้องเคารพ
คำพิพากษาอุทธรณ์ของศาลฎีกาฯ จะเป็นบรรทัดฐานและเป็นบทเรียนเตือนใจ สำหรับนักการเมืองรุ่นต่อๆ ไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี