ราวกับว่า มรสุมที่เคยโจมตีถาโถมใส่ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วงก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ นั้น จะถูกพัดพาไปยังทิศทางอื่นนั่นก็คือพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังถูกมองว่าเกิดการเขย่าจากทั้งภายในและภายนอก ทั้งในตอนนี้มรสุมดังกล่าวดูจะแปรสภาพ ส่งผลกระทบพัลวัน และแม้เหตุการณ์จะเข้ามาในช่วงที่พรรคอนาคตใหม่ เจอประเด็นจากรอบด้าน จนอาจถูกมองว่าอ่อนแรงที่สุด ขณะที่ภายในก็ว้าวุ่นที่สุด แต่ก็ดูราวกับว่าจะถูกลอยแพหรือถูกเพิกเฉยจากพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้านอื่นในประเด็นที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากประเด็นขัดแย้งกันระหว่างอนาคตใหม่และเพื่อไทยในสภาฯ ในช่วงก่อนหน้าหรือไม่? ก็น่าคิด
สิ่งแรก นั่นคือ ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมนครปฐม เขต 5 ซึ่งถือเป็นแผลสดของพรรคอนาคตใหม่ในเวลานี้ เพราะเป็นการสูญเสียศรัทธาจากคนในพรรคเองด้วยกันเอง? ที่คาดหวังให้พรรคอนาคตใหม่พิสูจน์ตัวเองต่อสังคม ถึงกระแสประชาชนว่าจะยังสนับสนุนตัวพรรคอยู่ แต่ผลที่ออกมากลับดูน่าผิดหวังเมื่อ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นฝ่ายชนะคะแนนไป แม้จะบอกว่าเป็นการเลือกตั้งในวันหยุดราชการที่มีฐานเสียงจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมาใช้สิทธิมากก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทย ยอมถอยไม่ส่งลงก็ยังไม่สามารถทำให้อนาคตใหม่ชนะในพื้นที่เดิมตัวเองได้? ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ ก็ส่งคนลงมาตัดคะแนน? ผู้ชนะจากซีกรัฐบาลก็ยังทิ้งห่างพรรคเจ้าของพื้นที่เดิมไปเกือบๆ 10,000 คะแนน
นอกจากนี้บรรดานักวิเคราะห์จากหลายฝ่ายเองก็ตั้งข้อสงสัยว่า การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ อาจจะส่งผลเสียในระยะยาวหรือไม่ ด้วยเหตุและปัจจัยส่วนหนึ่งที่พ่ายแพ้ มาจากทีท่าชิงเหลี่ยมกันของคนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเอง? หลังนายวัน อยู่บำรุง สส.พรรคเพื่อไทย ประกาศตัวสนับสนุนคนจากพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลที่เป็นคู่แข่งพรรคอนาคตใหม่เสียอย่างนั้น ซึ่งน่าสนใจว่าหลังจากนี้ การดำเนินการใดๆ ของพรรคอนาคตใหม่จะเป็นอย่างไรต่อไป ต่อสนามเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นตามมา อย่างสนามการเลือกตั้งซ่อมในเขตพื้นที่อื่น และการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ที่สถานการณ์ของทั้งสองสนามคงจะไม่ต่างกันมาก คือหากซีกฝ่ายค้านยังขาดเสถียรภาพระหว่างพรรคแกนนำทั้งสอง อย่างพรรคอนาคตใหม่และเพื่อไทย ที่ต่างฝ่ายต่างเล่นเกมของตัวเองดังเช่นข้างต้น ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการตัดคะแนนกันระหว่างฐานเสียงของพรรคทั้งสอง ส่งผลให้มีโอกาสถึงพ่ายแพ้ซีกพรรคจากฝ่ายรัฐบาล ที่ในชั่วโมงนี้ดูจะมีเสถียรภาพมากกว่าใช่หรือไม่? หรือหากพรรคอนาคตใหม่เลือกที่จะไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันในสนามที่พรรคเพื่อไทยส่งลง หลายฝ่ายก็ตั้งคำถามถึงกรณีดังกล่าวว่าคล้ายคลึงกับสมัยพรรคไทยรักษาชาติ ที่อาจจะถูกมองว่าเข้าข่ายพรรคในเครือของนายทักษิณหรือไม่?
สิ่งที่สอง คือแรงสั่นสะเทือนจากสังคมต่อพรรคอนาคตใหม่ จากการเลือกเดินเกมกรณีการโหวตสวนมติ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพล ด้วยเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นหลายฝ่ายจึงมองว่าพรรคอนาคตใหม่ หรือนายธนาธรเลือกเดินเกมนี้ถูกทิศถูกทางหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพรรคเดียวที่เดินเกมแตกต่างจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงความแตกต่างทาอุดมการณ์กับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นที่อาจถูกมองว่าขัดกันในซีกแล้ว ยังเกิดขึ้นกับตัว สส. ของคนในพรรคเองอีกด้วย หลังเกิดการโหวตสวนมติพรรคอย่างชัดเจน ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงเจตนารมณ์หรืออุดมการณ์ที่ไม่ตรงกันของคนในพรรค หรือยิ่งไปกว่านั้นคือการที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นอาการไหวหวั่นของการเดินเกมจากขั้วฝ่ายตรงข้ามด้วยหรือไม่?
นอกจากนั้นแล้ว จากสถานการณ์ล่าสุดที่มีอดีตผู้สมัครสส. รวมกับสมาชิกพรรคกว่า 100 คน ยื่นใบลาออกกับพรรค โดยอ้างเหตุว่าไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้? ซึ่งไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่จากสถานการณ์ดังกล่าวก็หลายฝ่ายก็เป็นห่วงและตั้งคำถามว่าอาจจะเป็นการขาดเสถียรภาพในการบริหารจัดการภายในพรรคในระยะยาวหรือไม่?
สิ่งที่สาม นอกจากคดีของพรรคอนาคตใหม่กว่า 20 คดี? ที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคหรือไม่? ยังมีคดีส่วนตัวของนายธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อย่างกรณีการให้พรรคกู้ยืมเงินกว่า 191 ล้านบาท หรือการถือหุ้นสื่อ? ที่ถือเป็นประเด็นสนใจในสังคมขณะนี้นั้น ทั้งสองคดีจัดว่ามีความแตกต่างกันอยู่ในแง่ของบทลงโทษ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นตัวนายธนาธรเอง และพรรคอนาคตใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่หรือไม่? เมื่อเรื่องของการให้กู้ยืมเงินนั้น อัตราโทษแม้จะไม่ถึงกับยุบพรรค แต่การตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี? ก็ถือว่าเป็นยาแรงต่อพรรคอนาคตใหม่ทางอ้อมหรือไม่?
ส่วนอีกคดีหนึ่งที่น่าจับตามองเพราะอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง หากมีการตัดสินคดีแล้ว นั่นก็คือคดีการถือหุ้นสื่อของนายธนาธร ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ หลังศาลรัฐธรรมนูญนัดวันที่ 20 พ.ย. อ่านคำวินิจฉัยคดี ซึ่งผลทางตรงที่สามารถเห็นได้ชัดนั่นคือเป็นการชี้ชะตาสถานภาพความเป็น สส. ของนายธนาธร แต่นอกเหนือกว่านั้นคือเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจจะมีผลไปถึงการพิจารณาร่างงบประมาณ วาระที่ 2 อย่างที่หลายฝ่ายกังวลด้วยหรือไม่? เพราะนายธนาธรเอง ได้รับการเสนอชื่อในโควตาของพรรคอนาคตใหม่ ให้อยู่ในตำแหน่งกรรมาธิการวิสามัญ ร่วมพิจารณางบด้วย ตามตัวบทกฎหมายแล้ว รัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่ได้ระบุไว้ว่า
“สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำนาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอำนาจเลือกบุคคลผู้เป็นสมาชิกหรือมิได้เป็นสมาชิก ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ หรือคณะกรรมาธิการร่วมกันตามมาตรา 137 เพื่อกระทำกิจการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ และรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่สภากำหนด”
ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า การเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้น จะเป็น สส. หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ด้วยสถานะความเป็น สส. ของนายธนาธรนั้นยังดูกำกวมอยู่? ฉะนั้นแล้วต้องดูว่าพรรคอนาคตใหม่เสนอชื่อนายธนาธรในโควตาส่วนใด หากจะมองว่ายื่นในโควตาของ สส. นั้น ก็ต้องมองว่านายธนาธรเองถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ ดังนั้นแล้วนับว่าเป็น สส. หรือไม่? หรือถ้ามองว่ายื่นในโควตาบุคคลภายนอก ก็ต้องให้นายธนาธรยื่นหลักฐานแสดงการลาออกจากความเป็น สส. ก่อนใช่หรือไม่? และด้วยเหตุแห่งความกำกวมนี้เอง หลายฝ่ายจึงจับตามองว่าการรอให้ศาลอ่านคำวินิจฉัยคดีในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เพื่อชี้ชัดถึงสถานะของนายธนาธรจะเป็นการดีกว่าทั้งต่อตัวนายธนาธรเอง และต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณหรือไม่?
อย่างไรก็ดี กระแสที่มีมาทุกยุคสมัยอย่างความเบื่อหน่ายทางการเมืองแบบเก่าๆ ของประชาชน ย่อมส่งผลให้เกิดนักการเมืองหน้าใหม่ หรือพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา ด้วยความเชื่อที่ว่าแนวคิด หรืออุดมการณ์แบบใหม่จะช่วยแก้ปัญหาคาราคาซังของประเทศได้ ซึ่งกระแสดังกล่าวเองสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งสมัยล่าสุด
ทว่าความสำเร็จไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ที่ได้มาโดยปราศจากความพยายาม และยิ่งหากมาผนวกกับความเชื่อถือยึดมั่นสุดโต่ง และมองโลกโดยใช้มุมมองเพียงด้านเดียวเป็นหลัก เมื่อเวลาผ่านไปย่อมแสดงให้เห็นถึงสภาวการณ์รอบด้าน อย่างที่เห็น อย่างเป็นรูปธรรมในทุกวันนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว การดำเนินการใดๆ ต่อจากนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแนวทางเพื่อหลุดพ้นวัฏจักรเดิมๆ อย่างที่ประชาชนคาดหวังได้หรือไม่?
“…คนผู้หนึ่งหากคิดบงการผู้อื่น
พึงเรียนรู้ถึงการสร้างความขัดแย้งระหว่างกันและกันของคน…”
โกวเล้ง จากเรื่องกระบี่ ผีเสื้อ ดาวตก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี