แม้จะมีข้อกังขาอยู่บ้างในเรื่องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนพลเมืองชาวสิงคโปร์ ที่ถูกจำกัดจำเขี่ยโดยฝ่ายรัฐ แต่ถ้ามีโอกาสไปสิงคโปร์ทีไร ก็ยังอดคิดไม่ได้ถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของประเทศเขาซึ่งก็ต้องให้เครดิตแก่ฝีไม้ลายมือและความตั้งอกตั้งใจของรัฐบาลสิงคโปร์ ส่งผลให้ชาวสิงคโปร์ยอมรับอำนาจรัฐ
พูดง่ายๆ ว่า ชาวสิงคโปร์นั้นยอมที่จะสละสิทธิเสรีภาพทางการเมืองไปบางส่วน เพื่อแลกกับการบริหาร และบริการคุณภาพสูงจากทางรัฐบาล
หรือนัยหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลสิงคโปร์สามารถส่งมอบ (delivery) สิ่งที่ประชาชนพลเมืองต้องการ รวมถึงสิ่งที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชนพลเมืองมาโดยตลอด โดยไม่บิดพลิ้วไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีการแอบแฝงหาผลประโยชน์เข้าตัว กล่าวคือ ชาวสิงคโปร์ได้เห็นการบริหารราชการที่มีขั้นตอนแน่ชัด สะดวกรวดเร็วโปร่งใส รับผิดชอบ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี
เมื่อ 50 ปีก่อน ที่สิงคโปร์เริ่มก่อตั้งประเทศ ผู้นำของเขาได้ให้สัญญาเรื่องการศึกษา ที่อยู่อาศัย และระบบราชการที่ซื่อสัตย์สุจริต และรัฐบาลของเขาก็ทำได้จริง จึงทำให้ประชาชนพลเมืองมีความพึงพอใจและมีความเชื่อใจ ซึ่งในเวลาต่อมาไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลจะทำอะไรกับทิศทางของประเทศ เขาก็จะมีการบอกกล่าวให้ประชาชนทราบล่วงหน้า นอกจากนั้นยังมีการรับฟังความคิดเห็น ทำให้สังคมเข้าใจในทิศทางของประเทศ และเกิดการยอมรับ เชื่อใจในตัวฝ่ายรัฐบาล (Trust) ว่าที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ก็เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมเท่านั้น
ฉะนั้นโครงการขนาดใหญ่(เมกะโปรเจกท์) ของสิงคโปร์ จึงไม่มีข่าวเรื่องลิ่วล้อนักการเมืองไปกว้านซื้อที่ดินล่วงหน้า ไม่มีเรื่องนายทุนการเมืองไปตั้งบริษัท “เปลือก” เพื่อกินหัวคิวโครงการ ไม่มีเรื่องเครือญาติของผู้มีอำนาจรัฐไปตั้งบริษัทเพื่อรับงาน ไม่มีการเรียกรับค่านายหน้าในการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น
นั่นคือ การบริหารราชการของสิงคโปร์นั้นไม่มีเรื่องอื้อฉาว (Scandals) เพราะฝ่ายบริหารประเทศ (ทั้งฝ่ายการเมืองและราชการ) เขาตรงไปตรงมาซื่อสัตย์สุจริต และรักประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ
ข้อแตกต่างระหว่างไทย กับสิงคโปร์ อยู่กันตรงนี้ อยู่ตรงที่การประพฤติตนของผู้นำประเทศ และพรรคพวกแวดล้อม
ผู้นำประเทศสิงคโปร์นั้น นอกจากจะมีวิสัยทัศน์แล้วยังไม่หลงมัวเมาในอำนาจ ในจิตใจมีแต่ความรักชาติ มีความซื่อตรงและซื่อสัตย์ เมื่อเขาอาสามารับใช้ชาติก็รับใช้แต่ชาติเป็นหลักจริงๆ ไม่ใช่อาสาแบบปลอมๆ แล้วมาประพฤติตนให้เป็นผลร้ายแก่สังคม
ในขณะที่ไทยต้องแก้ปัญหากันทั้งสังคมทุกระดับทุกวงการ เพราะไม่ว่าโครงการอะไร ไม่ว่าเรื่องอะไรต่างก็เริ่มคิดเอาประโยชน์จาก “สาธารณะ” เข้าพรรคพวกตนเองก่อนเท่านั้น
ฉะนั้น ช่วยกันต้องหาวิธีให้ผู้มีอำนาจเลิกคิดมาหา “รับประทาน” เงินของประชาชน เมื่อไหร่ที่ไทยเราข้ามความชั่วร้ายของการหาประโยชน์เข้าตนไปได้ เมื่อนั้นไทยจึงจะหลุดพ้นจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนา ไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว
มองไปทางไหนในตอนนี้ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว เพราะหากสังคมจะเริ่มได้ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณประยุทธ์ และพวกพ้อง ที่ทำการบริหารประเทศอยู่ เป็นสำคัญ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี