ไทยนำเข้าบุหรี่ซิกาแรตจากต่างประเทศมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นระยะเวลากว่า 150 ปี โดยนำเข้าจากสิงคโปร์, ญี่ปุ่น, อินเดีย และฟิลิปปินส์ จนวันที่ 20 เมษายน 2482 รัฐบาลได้ตั้งการยาสูบแห่งประเทศไทยโดยรับโอนการผลิตและจำหน่ายบุหรี่ทั้งของเอกชนไทยและต่างประเทศแต่ผู้เดียวเป็นรัฐวิสาหกิจผูกขาดโดยซื้อบุหรี่จากบริษัทข้ามชาติ เช่น บริติชอเมริกันโทแบ็คโก้,ฟิลลิป มอร์ริส, อาร์เจย์เรโนลด์ และเจแปนโทแบ็คโก้
ในปี 2534 รัฐบาลเลิกนโยบายผูกขาดการขายบุหรี่เปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาตั้งสาขาในไทยจำหน่ายบุหรี่ได้เองโดยใช้ราคาซีไอเอฟและราคาเอฟโอบีมาแสดงต่อกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตตามราคาแหล่งผลิตที่ต่างกันเพราะบุหรื่เป็นสินค้าที่มีการปรุงส่วนผสมและต้นทุนการผลิตมีลักษณะการเบล็นด์ของผู้ชำนาญการปรุงรสและผู้ชำนาญการใบยาเหมือนสินค้าสรรพสามิตอื่นๆ เช่น สุราผสมพิเศษ, สุราปรุงพิเศษ, สุราแช่, เบียร์ และไวน์
เมื่อเกิดร้านค้าปลอดภาษีที่ท่าอากาศยานนานาชาติในนามบริษัทคิง เพาเวอร์ จำกัด ขึ้นกรมศุลกากรได้อนุญาตให้บริษัทซื้อบุหรี่ซิกาแรตนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เอง จึงเกิดเป็นมหากาพย์ราคาบุหรี่นำเข้าขึ้นจากข้อเสนอของกลุ่มเอ็นจีโอสายสาธารณสุขที่ต่อต้านการสูบบุหรี่ได้นำข้อมูลไปให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม 2549
อดีตนายกรัฐมนตรีได้ให้ดร.ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการคลัง ตรวจสอบราคานำเข้าบุหรี่ต่างประเทศโดยขั้นแรกให้การยาสูบแห่งประเทศไทยตรวจสอบราคาพบว่าราคาบุหรี่ของคิงเพาเวอร์ที่สั่งจากสหรัฐอเมริการาคาสูงกว่าราคาบุหรี่ที่ผลิตในฟิลิปปินส์ ซึ่งข้อเท็จจริงก็ไม่แปลกเพราะต้นทุนการผลิตบุหรี่ที่สหรัฐอเมริกาย่อมสูงกว่าเนื่องจากส่วนผสมของใบยาคนละเกรดค่าแรงงานในสหรัฐอเมริกาสูงกว่าฟิลิปปินส์หลายเท่าตัวราคาและคุณภาพบุหรี่ก็แตกต่างกันด้วย
ต่อมารัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนนำโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ, กรมศุลกากร, กรมสรรพสามิต กรมสรรพากร และสำนักงานอัยการสูงสุด จนทำให้กรมศุลกากรเริ่มปฏิเสธราคานำเข้าของบริษัทผู้นำเข้ายาสูบและไปใช้ราคาบุหรี่จากคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี เป็นราคาประเมินของศุลกากรแทนแต่ภายหลังก็มีการปรับลดราคาวางประกันลงมาเหลือส่วนต่างไม่มากนักแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะนั้นใช้อำนาจสั่งกรมศุลกากรให้ตรวจสอบธุรกรรมของฟิลลิป มอร์ริส ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนในการนำเข้าบุหรี่จากฟิลิปปินส์
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรัฐบาลอุตสาหกรรมยาสูบและชาวไร่ยาสูบในฟิลิปปินส์ เพราะเป็นประเทศผู้ส่งออกบุหรี่รายใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์2551 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลกเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาระงับข้อพิพาททางการค้ากับไทยอย่างเป็นทางการ
เดือนมีนาคม 2551 กรมศุลกากรยอมรับราคานำเข้าของฟิลลิป มอร์ริส ตามเดิมและต่อมากรมศุลกากรได้สรุปผลการตรวจสอบหลังจากที่ดำเนินการมากว่า 2 ปี พบว่าไม่มีการกระทำความผิดใดๆ และได้คืนเงินประกันให้บริษัทแต่ในเดือนเมษายน 2552 กรมสอบสวนคดีพิเศษกลับแจ้งข้อกล่าวหาต่อบริษัทและมีความเห็นควรดำเนินคดีกับบริษัท และพนักงานที่เกี่ยวข้องในปีเดียวกันนั้น
เดือนพฤศจิกายน 2553 หลังจากไทยและฟิลิปปินส์ล้มเหลวจากการเจรจาหาข้อยุติจึงมีการดำเนินการวินิจฉัยข้อพิพาทจนในที่สุดองค์การการค้าโลกได้ออกคำวินิจฉัยว่าไทยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะปฏิเสธราคานำเข้าของผู้นำเข้าแต่ต่อมาในช่วงมกราคม 2554 อัยการมีความเห็นแย้งกับกรมสอบสวน
คดีพิเศษและมีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทจึงเป็นประเด็นทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยนำประเด็นนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประชาธิปัตย์ในช่วงเดือนมีนาคม 2554
การฟ้องคดีอาญาทำให้ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลกอีกหลายครั้งเพื่อขอให้ไทยดำเนินการให้สอดคล้องกับระเบียบขององค์การการค้าโลกทำให้ไทยต้องแพ้คดีถึง 3 ครั้ง ปลายเดือนพ.ย. 2562 ศาลอาญาได้พิพากษาตัดสินปรับบริษัทนำเข้าบุหรี่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งคิดจากอัตราค่าปรับ 4 เท่าของอากรที่ขาด 300 ล้านบาท ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคฝ่ายค้านในการทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายรัฐบาลโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทยเป็นผู้จุดประเด็น
ต่อมา นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.การคลัง ออกมาให้ข่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือบริษัทบุหรี่ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นการกระทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและรักษาภาพลักษณ์ของไทยให้เป็นไปตามกติกาการค้าโลกในสายตาของบริษัทและนักลงทุนต่างชาติเพราะไทยถูกองค์การการค้าโลกฟ้องและแพ้คดีมาถึง 3 ครั้งแล้ว
นอกจากนี้ ยังอ้างว่ารัฐบาล คสช. ของพลเอกประยุทธ์ได้แก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากร 2469 มาตรา 27 เพื่อให้การช่วยเหลือบริษัทผู้นำเข้าให้เสียค่าปรับลดจาก 25,000 ล้านบาท เหลือ 1,200 ล้านบาท ทั้งที่ในความเป็นจริงมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจาก พ.ร.บ.ศุลกากรเก่านี้เรื่องการจ่ายสินบนรางวัลและบทลงโทษที่ไม่เป็นธรรมทำหนังสือร้องเรียนผ่านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทยรวมทั้งหอการค้าต่างประเทศเป็นเวลานับสิบปีเพื่อขอให้รัฐบาลแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.เก่าฉบับนี้
เพื่อลดอำนาจข้าราชการศุลกากร รวมทั้งแก้กฎระเบียบที่มีความคลุมเครือเปิดช่องให้มีการใช้ดุลยพินิจเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการระงับคดีและได้รับเงินรางวัลกับสินบนนำจับสูงร้อยละ 55 ของมูลค่าความเสียหาย กระทรวงการคลังใช้เวลายกร่างกฎหมาย 2 ปี เสนอคณะรัฐมนตรีผ่านความเห็นชอบในหลักการกฎหมายมาเสร็จในยุคคสช. ทำให้ไทยได้กฎหมายศุลกากรใหม่ที่มีมาตรฐานสากลสร้างความโปร่งใสให้ข้าราชการศุลกากรรวมถึงไม่สร้างภาระความเดือดร้อนให้กับภาคเอกชน
ทราบมาว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลฟิลิปปินส์จะมีมาตรการกับไทยอีก ซึ่งต้องติดตามว่าผลเสียหายกับไทยจะเป็นอย่างไรและไทยต้องเสียค่าปรับให้องค์การการค้าโลกในกรณีนี้เท่าใด !?
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี