“อโรคยา ปรมา ลาภา..ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”คนเราเกิดมาแม้รู้ว่ามีเวลาจำกัดถึงคราวก็ต้องจากโลกนี้ไปแต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่เชื่อเหลือเกินว่าทุกคนย่อมอยากมีสุขภาพดี ถึงกระนั้นเราๆ ท่านๆ ล้วนต้องเคยป่วยไข้ไม่มากก็น้อยกัน ซึ่งด้วยความที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา จึงได้คิดค้น “ยารักษาโรค” จากสมุนไพรดั้งเดิมมาสู่สารสังเคราะห์ทางเคมีในปัจจุบันสำหรับบรรเทาอาการไม่สบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ คือ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง (Alexander Fleming) ชายชาวสกอตแลนด์ ค้นพบ “เพนิซิลลิน(Penicillin)” ในปี 2471 ยามหัศจรรย์นี้ได้ทำให้มนุษย์อันเป็นสิ่งมีชีวิตแสนเปราะบาง สามารถเสียชีวิตได้ง่ายๆแม้แต่การมีบาดแผลเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนั้นอีกต่อไป หลังจากนั้นมนุษยชาติก็พัฒนายาประเภทนี้มาอย่างต่อเนื่องโดยเรียกว่า “ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)”กระทั่งในช่วงไม่กี่ปีล่าสุด “ฝันร้าย” ก็ได้กลับมาเยือนเผ่าพันธุ์ของเราอีกครั้ง
เมื่อปลายปีที่แล้ว ช่วงกลางเดือนธ.ค. 2562 ประภัตรโพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปกล่าวในงานเปิดตัวโครงการวิจัย “สุขภาพหนึ่งเดียวและการดื้อยาปฏิชีวนะในประเทศไทย” ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ มหาวิทยาลัยบริสตอล สหราชอาณาจักร สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และเครือข่าย โดยระบุว่า การค้นพบยาต้านจุลชีพในกลุ่มยาปฏิชีวนะ ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในโลก เนื่องจากยาต้านจุลชีพในกลุ่มยาปฏิชีวนะที่ได้รับการขนานนามว่า “ยาปาฏิหาริย์” ได้ช่วยชีวิตคนนับล้านที่ป่วยจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ซึ่งนั่นทำให้ยาปฏิชีวนะได้กลายเป็นเสาหลักของการแพทย์แผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม “การใช้ยาจุลชีพที่เพิ่มมากขึ้น และใช้อย่างไม่เหมาะสมในปัจจุบัน ทั้งในการแพทย์ การสาธารณสุข การสัตวแพทย์ และการเกษตร ได้กลายเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้แบคทีเรียดื้อยาเร็วขึ้น” จึงทำให้ยาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่เริ่มไม่มีประสิทธิภาพในการรักษา ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการใช้และความเข้มข้นของยามากขึ้น นอกจากนี้การใช้ยาต้านจุลชีพในวงกว้างและกำจัดอย่างไม่ถูกวิธียังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“การสำรวจแหล่งน้ำนิ่งของฟาร์มหมู พบเชื้อดื้อยาสูงกว่าตัวอย่างน้ำนิ่งจากลำคลอง น้ำจากบ่อเลี้ยงกุ้ง และบ่อเลี้ยงปลา รวมถึงพบการนำยาต้านจุลชีพไปใช้ในการรักษาโรคพืช เช่น โรคกรีนนิ่งในพืชตระกูลส้มปัญหาเชื้อดื้อยาที่เพิ่มความรุนแรงเป็นผลมาจากหลายเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงกันทั้งในด้านการแพทย์และสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม การคมนาคมระหว่างประเทศ และอื่นๆ ทำให้องค์การอนามัยโลกเน้นย้ำว่าปัญหาเชื้อดื้อยากำลังเป็นภัยคุกคามต่อภาวะสุขภาพและระบบสาธารณสุขทั่วโลก และต้องการความร่วมมือกันของทุกฝ่าย” รมช.เกษตรฯ กล่าว
เช่นเดียวกับ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อ้างถึงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ที่พบว่า “ประเทศไทยมีการติดเชื้อดื้อยาประมาณปีละ 87,751 ครั้ง และเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 40” ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อดื้อยาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น 3.24 ล้านวัน มูลค่ายาต้านจุลชีพที่ใช้รักษาคิดเป็น 2,539-6,084 ล้านบาท ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ
โดยรวมไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ “เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพเป็นปัญหาไร้พรมแดน” เพราะสามารถแพร่กระจายข้ามขอบเขตพื้นที่ ประเทศ และทวีปไปทั่วโลกได้ และยังสามารถแพร่กระจายผ่านตัวกลางระหว่างคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องแสดงความรับผิดชอบในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมเพื่อลดความรุนแรงของปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ
รศ.นพ.สรนิตยังกล่าวอีกว่า แม้จะมีความพยายามวิจัยเพื่อรับมือปัญหาเชื้อดื้อยา เช่น การพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ การใช้ “แบคเทอริโอเฟจ” ซึ่งเป็นไวรัสที่ฆ่าแบคทีเรียได้ ชุดวินิจฉัยโรคที่ทันสมัย และอื่นๆ เช่น โครงการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายาปฏิชีวนะใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะมียาปฏิชีวนะชนิดใหม่ เพื่อใช้กับเชื้อดื้อยาจำนวน 10 รายการ ภายในปี 2563ถึงกระนั้น “ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าโครงการจะสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่” ดังนั้น “การชะลออัตราการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียให้ช้าที่สุด” คือหนทางที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้
น.สพ.ปานเทพ รัตนากร ประธานเครือข่ายสุขภาพหนึ่งเดียว มหาวิทยาลัยไทย ในฐานะสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาจุลชีพนั้นจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ “เชื้อดื้อยานั้นไม่เกิดกับมนุษย์อย่างเดียว แต่เกิดกับปศุสัตว์และสิ่งแวดล้อมด้วย” ซึ่งเป็นวงจรร่วมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นการบริโภคเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ที่ได้รับยาปฏิชีวนะจึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อดื้อยาเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้แล้วยังปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม เพราะว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงปลาและกุ้งที่มีการปล่อยน้ำทิ้งออกไปสู่ภายนอก
ด้าน ร.ต.พงศธร ศิริสาคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ให้ความเห็นว่า ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่กับวิถีทางเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตร ปศุสัตว์ ประมง และอุตสาหกรรม ซึ่งงานวิจัยนี้จะช่วยสามารถเชื่อมโยงไปสู่การทำความเข้าใจในการมีสุขภาพดีของมนุษย์ที่สัมพันธ์การมีสุขภาพดีของสัตว์และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค การที่โครงการวิจัยได้เลือก อ.บางเลนจ.นครปฐม ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่แต่ยังเป็นประโยชน์ของสังคมอีกด้วย
ย้อนกลับไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในงานนี้ก็มีการเปิดเผยถึงเป้าหมายที่กระทรวงต้องไปให้ถึง เช่นในปี 2564 จะต้องมีการลดการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ลงร้อยละ 30 มีการให้ความรู้เรื่องเชื้อดื้อยาและการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในกลุ่มเกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 20และเร่งพัฒนาระบบจัดการการดื้อยายาต้านจุลชีพที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล โดยกำหนดให้มีการใช้ยาต้านจุลชีพตามใบสั่งสัตวแพทย์ และลดการใช้ยาต้านจุลชีพในฟาร์มปศุสัตว์และสัตว์น้ำ
นอกจากนี้ประเทศไทยยังร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสุขภาพสัตว์โลก (OIE) องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เพื่อดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพในภาคเกษตร ปศุสัตว์ และสัตว์น้ำ ให้สอดคล้องกับแผนงานของสหประชาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศ
“ขึ้นปีใหม่ 2563” ต้องบอกว่าเป็นงานหนักจริงๆสำหรับกระทรวงนี้ เพราะนอกจากต้องติดตามเรื่องการแบน3 สารเคมีในภาคเพาะปลูกแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังภัยจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกวิธีในแวดวงปศุสัตว์อีก!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี