ข่าวสะเทือนใจผู้คน กรณีเด็กหญิง 2 ขวบ ถูกแม่พาไปทิ้งไว้หน้าสถานสงเคราะห์ บ้านพักเด็กฯ จ.ลพบุรี
พร้อมทิ้งจดหมาย บอกว่าแม่รักลูก แต่แม่ขอโทษ เลี้ยงลูกไม่ได้ จำต้องทำแบบนี้ พ่อของเด็กก็ปฏิเสธไม่รับลูกไปเลี้ยง อ้างว่าสามีใหม่ก็ไม่เอา ฯลฯ
1. สามีใหม่ของแม่เด็ก ออกมาปฏิเสธข่าว โดยยืนยันว่าตนเองมีความเมตตาเอ็นดูเด็กหญิง พร้อมดูแลเสมือนลูก แต่ฝ่ายแม่ของเด็กเองนั่นแหละที่มักทำร้ายร่างกาย ทุบตีเด็ก แล้วเอาเด็กมาทิ้งโดยไม่บอกกล่าวให้รู้ด้วยซ้ำ
2. ส่วนสามีเก่า หรือพ่อแท้ๆ ของเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ยังไม่เห็นออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ เลย
โดยแม่เด็กอ้างว่าสามีเก่าไม่ยอมรับว่าเด็กเป็นลูกของเขา ไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
นี่คือจุดบอดสำคัญ ทุกฝ่ายควรช่วยกันติดตาม (มากกว่าก่นด่าแม่เด็กอย่างเดียว) ว่าจะทำให้เกิดความรับผิดชอบบนพื้นฐานความจริงที่เป็นธรรมอย่างไร?
เด็กมันต้องมีพ่อ ใครเป็นเจ้าของอสุจิที่ปฏิสนธิเด็กหญิงขึ้นมาจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ควรมีหนทางพิสูจน์ทราบ แล้วทำให้เกิดความรับผิดชอบ ระดับใดระดับหนึ่ง ที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็กหญิงคนนี้
3. ล่าสุด สื่อมวลชนไปเจอแม่ของเด็กแล้ว
เจ้าตัวร่ำไห้เปิดใจ ขี่รถจักรยานยนต์จากจังหวัดสุพรรณบุรี พาลูกไปส่งไว้ที่ลพบุรี ระยะทาง 300 กม. สามีเก่า ทอดทิ้งไปตั้งแต่ลูกอายุ 3 เดือน ตัวเองไม่มีเงินเลี้ยงลูก จึงต้องเอาลูกไปทิ้ง โดยตัวเองนั้น พ่อก็ตาย แม่ก็ติดคุก ยากจนข้นแค้น ยอมรับว่าตัวเองโมโหร้าย อารมณ์ร้อน ชอบตีลูก หากลูกยังอยู่กับตัวเอง คงตีลูกจนตาย เขาไม่คิดว่าเราเป็นแม่ เขาต่อต้านเราทุกอย่าง แล้วเราโมโหร้าย ตีลูกจะตีหนักทุกครั้ง คนถามลูกมึง มึงเลี้ยงไม่ได้เหรอ เราเลี้ยงได้ แต่บางทีเราเหนื่อย เราไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ แต่มันถึงจุดสุดๆแล้ว…
4. ล่าสุด อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน คุณสุภัชชา สุทธิพล เปิดเผยว่า กรณีนำเด็กไปทิ้งให้สถานรับเลี้ยงนั้น ถือว่าแม่เด็กไม่มีความผิดทางกฎหมาย เพราะ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ตามมาตรา 25 และ 26 ที่บอกว่าห้ามไม่ให้ผู้ปกครองมีการทอดทิ้งเด็กหรือละทิ้งเด็ก หรือผู้ใดนำเด็กไปบังคับขู่เข็ญหรือใช้ประโยชน์โดยมิชอบ จะมีความผิดทางกฎหมาย และกฎหมายอาญาตามมาตรา 306, 307 และ308 ระบุว่า หากผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และถ้าการทอดทิ้งเด็กนั้นเป็นเหตุให้เด็กบาดเจ็บหรือตาย แต่ก็อาจจะผิดในข้อหาทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น แม้จะขาดเจตนา แต่ก็มีโทษจำคุกเช่นกัน โดยกรณีนี้แม่ของเด็กได้นำลูกมาไว้หน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลพบุรี ในลักษณะเหมือนทิ้ง เพราะกลัวว่า ถ้าเข้ามาพร้อมลูก ที่บ้านพักเด็กฯจะไม่รับไปดูแลต่อ และมีเจตนามุ่งหวังให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูจากภาครัฐ เนื่องจากแม่ไม่มีความพร้อมในการเลี้ยงดู อาจจะสภาพทางการเงิน เพราะฉะนั้น ต้องมองในส่วนของเจตนาเป็นหลักว่า แม่เด็กไม่ได้มีความจงใจที่จะทิ้งเด็กโดยมุ่งหวังไม่มีคนเลี้ยงดู แต่เลือกมาทิ้งเด็กให้กับภาครัฐนำไปดูแลต่ออย่างดี และได้รับการศึกษา
สอดรับกับระดับนโยบาย ในแฟนเพจรัฐมนตรีการพัฒนาสังคมฯ “จุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมฯ” ระบุไว้ว่า
“ขณะนี้เราติดตามว่าจะสามารถให้คุณแม่กลับมาดูแลลูกได้หรือไม่ โดยกระทรวงพม. จะมีเงินช่วยเหลือในการดูแล เพราะเด็กนั้นอายุเพียง 2 ขวบ สามารถที่จะรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด และได้รับเงินสงเคราะห์สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยอีกด้วย ทั้งนี้ เด็กทุกคน คนไทยทุกคน มีความหมายต่อการพัฒนาประเทศ อย่าให้เขามีแผลเป็นทางใจในชีวิตช่วยให้เขาเข้มแข็ง และเขาจะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ
ท่านใดที่คิดว่าไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ โปรดอย่าทอดทิ้ง เพราะไม่มีอะไรทดแทนพ่อและแม่ได้ กระทรวง พม. พร้อมจะสนับสนุนให้ท่านทั้งหลายเลี้ยงลูกได้อย่างมีคุณภาพ ท่านสามารถมาหาเรา มารับคำปรึกษาจาก พมจ. ได้ทุกจังหวัด หรือติดต่อมาที่ 1300 เจ้าหน้าที่จะประสานงานไปที่ พมจ. ทุกจังหวัด ให้การช่วยเหลือท่าน”
5. กรณีนี้ ในมุมของผู้ทำงานช่วยเหลือเด็กโดยตรง เคยผ่านประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับแม่ เด็ก และครอบครัวที่มีปัญหาร้ายแรงกว่านี้มามากมาย ได้สะท้อนมุมคิดที่น่าสนใจมาก ในแฟนเพจ “สหทัย มูลนิธิ” ให้ข้อคิดที่สังคมควรพิจารณาอย่างยิ่ง ขอฝากไว้ ณ ที่นี้
“เมื่อคิดไตร่ตรองแล้วว่าเลี้ยงลูกไม่ได้ พาลูกไปส่งให้สถานสงเคราะห์ช่วยเลี้ยง...ก็เป็นทางออกที่ดี...
ตอนนี้ข่าวคุณแม่พาลูกไปส่งให้สถานสงเคราะห์ช่วยดูแล กำลังเป็นที่สนใจ
แอดมินคิดว่า...สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับการทำงานของ #สหทัยมูลนิธิ ท่านคงจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณแม่ท่านนี้มากๆ ทุกท่านคงเห็นด้วยกับเธอ
จากข้อมูลในข่าว....
1.เธอรอให้มีเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูรับเด็กเข้าไปด้านใน แล้วเธอจึงออกรถไป...นี่แสดงความรับผิดชอบมากๆ จะเรียกว่า “ทิ้ง” ไม่ได้เลย
2.เธอเขียนจดหมายที่บอกวัตถุประสงค์การนำลูกมาที่หน่วยงานพร้อมกับอธิบายสั้นๆถึงความจำเป็น ( แต่ข้อมูลความจำเป็นมากพอนะคะ)
และยิ่งนานวันขึ้น มีข้อมูลเพิ่ม ที่ย้ำชัดเจนถึงความยากลำบากของเธอที่มีมากมายเหลือเกิน
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เรา... คนทำงานและคนที่เข้าใจความต้องการของเด็กที่รู้ว่าเด็กควรเติบโตในบรรยากาศเช่นไร....จะเข้าใจคุณแม่รายนี้ ว่าเธอผ่านการคิดใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะคิดได้ให้กับลูกของเธอ!!!!
แอดมิน..ในฐานะคนทำงานที่สหทัยฯ บอกได้เลยว่า ชื่นชมวิธีการจัดการปัญหาชีวิตเรื่องที่เกี่ยวกับ “ลูก” ของคุณแม่ท่านนี้มากๆ เธอตระหนักดีต่อข้อจำกัด และเรื่องวุ่นวายในชีวิตของเธอ....
ลองมองในมุมของเธอ ถ้าเธอยังกลัวคนจะประณามว่า....ไม่มีความรับผิดชอบ....ไม่รักลูก....ใจดำ...ทิ้งลูกได้ลงคอ...หมายังรักลูก...เห็นผัวดีกว่า ฯลฯ
แล้วเธอก็เลี้ยงลูกต่อไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ***เธอก็จะตีลูกมากขึ้น ****ลูกของเธอก็จะเติบโตท่ามกลางคำพูดที่แย่ๆบั่นทอนจิตใจ****เผลอๆ เด็กอาจถูกทอดทิ้งไว้กับ..ใครก็ไม่รู้ แล้วคุณภาพชีวิตของเด็กจะเป็นเช่นไร
แล้วพอมีข่าวว่า เด็กถูกทำร้าย ถูกทอดทิ้ง ฯลฯ สังคมก็หาเรื่องต่อว่าเขาอีก
ให้คนที่พลาดพลั้งได้มีโอกาสทำสิ่งที่ถูกกันบ้างเถอะนะคะ
#มนุษยชาติมีพันธะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เด็ก #สหทัยมูลนิธิ
ปล.ฝากเพื่อนๆที่ทำงานในสถานดูแลเด็กนะคะว่า กรณีแบบนี้...คือ... เมื่อคุณแม่นำลูกมาฝากที่สถานสงเคราะห์ แล้วถูกสังคมฯ ให้ความเห็นลบๆ จนบางทีแม่อาจรู้สึกสับสน จนคิดว่าจะไปรับลูกกลับมาเลี้ยงเอง เพื่อคนจะได้หยุดพูดถึงเขา!!! ถ้าบังเอิญจะเกิดกรณีเช่นนี้ก็ขอให้นักสังคมฯช่วยประเมินความพร้อมของแม่ และความเสี่ยงที่เด็กอาจจะได้รับหากถูกส่งกลับไปอยู่กับแม่อย่างรอบด้านนะคะ ท่องคำว่า “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ไว้ค่ะ”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี